วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

Area51 พื้นที่ต้องห้าม..ที่กำความลับกับคนทั้งโลก วิจัยเอเลี่ยน ผลิต UFO

ถ้า จะว่าไปแล้ว ในโลกใบนี้ยังมีสถานที่ลึกลับหรือแปลกประหลาดยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเป็นจำนวน มาก ไม่ว่าจะเป็นโบราณสถาน หรือดินแดนแห่งตำนานต่าง ๆ แต่สำหรับพื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า “เขตพื้นที่ 51” (Area 51) รวม อยู่ในกฎนี้ไหม มันคืออะไร แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งบินลึกลับ (จานบินนั่นแหละ) เชื่อว่าคงเคยได้ยินชื่อนี้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย                 แอเรีย 51 คือ ฐานทัพลับของกองทัพอากาศสหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวลึกเข้าไปในบริเวณต้องห้ามอันกว้างขวางของรัฐบาล ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลทรายเนวาด้า ซึ่งหากคุณๆคิดจะไปเฉียดกรายกันล่ะก็ ลองใช้เวลาสัก 2 ชั่วโมงขับรถไปทางตะวันตกเฉียง หเนือของลาสเวกัส บริเวณที่เป็นที่รู้จักกันดี และมีข่าวลือเกี่ยวกับการทดลองของกองทัพสหรัฐนั้น ได้แก่ Groom Lake และ Papoose Lake ครับ
                โดยทั่วไปเชื่อว่า แอเรีย 51 นี้ เป็นสถานที่ที่ใช้ฝึกและพัฒนาสำหรับโคงการลับที่สุดของทางทหาร โดยเฉพาะ เครื่องบินสอดแนมและเทคโนโลยีทางการบินที่แอบพัฒนากันอยู่ ข่าวลือเกี่ยวกับแอเรีย 51 นี้เริ่มมีหนาหูขึ้น จนประชาชนสงสัยว่าจริงๆแล้ว มีอะไรซ่อนอยู่ที่ฐานทัพแห่งนี้ มีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมารายงานว่า ได้เห็นวัตถุประหลาดลอยอยู่เหนือฐานทัพ และหลายคนกล่าวว่า กองทัพได้ใช้ฐานทัพนี้ ในการศึกษาจานบินและมนุษย์ต่างดาวที่พวกเขาจับกุมกันมาได้ด้วย
                เขตพื้นที่ 51 เป็นชื่อเรียกของพื้นที่เขตหวงห้ามของรัฐบาลสหรัฐตั้งอยู่ทางเหนือของลาสเวกัสประมาณ 95 ไมล์ และ 13 ไมล์ทางตะวันตก ทางหลวงสายที่ 375 บนถนนกรูมเลค (Grom Lake Road) ใกล้กับเมืองราเชล (Rachel) พื้นที่นี้ล้อมรอบไปด้วยเขตทดลองของรัฐเนวาด้า (The Nevada Test Site) และเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศเนลลิส (Nellis Air Force Range) ที่เรียกว่าพื้นที่ 51 ก็เพราะเป็นชื่อจุดที่ตั้งซึ่งปรากฎบนแผนที่ ของเขตทดลองเนวาดา
                ที่แห่งนี้มีการร่ำลือกันมานานแล้วว่าเป็น ที่ที่ใช้ซ่อนจานบินและมนุษย์ต่างดาวซึ่งตกในรอสเวล (Roswell) และ รัฐบาลได้ปกปิดเรื่องนี้อย่างสุดฤทธิ์แต่ดูเหมือนยิ่งปิดก็ยิ่งกระตุ่น ต่อมอยากรู้ของผู้คนทั่วไป โดยมีการอ้างถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของผู้ที่เกี่ยวข้องและ ไม่เกี่ยวข้อง รายที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นรายของ บ๊อบ ลาซาร์ (Bob Lazar)
                บ๊อบ ลาซาร์ เป็นชาวลาสเวกัส เขาอ้างว่าเคยทำงานอยู่ในเขตพื้นที่นี้ในช่วงปี 1988 – 1989 โดย ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษแผนกอากาศยาน เขากล่าวว่าในเขตพื้นที่นี้มีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยมาก และเขายังได้เห็น วัตถุสิ่งบินขนาดใหญ่สิ่งหนึ่ง ซึ่งเขาบอกได้เลยในทันทีว่านั้นเป็นจานบินอย่างแน่นอน เขาบอกว่าวัตถุสิ่งบินที่ลึกลับนี้อยู่ในส่วนที่เรียกว่า เอส-โฟร์ (S-4) ในปาปูส เลค (Papoose Lake) ซึ่ง อยู่ทางใต้ของกรูมเลค ที่นั่นถูกก่อสร้างให้พรางตา กลมกลืนไปกับพื้นทะเลทรายโดยรอบ หากดูอย่างผิวเผินแล้วจะไม่มีทางสังเกตเห็นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ลาซาร์ ยังบอกว่าเขาได้พบมนุษย์ต่างดาวภายในนี้ด้วย โดยบอกว่าเป็น “สิ่งมีชีวิต” ที่สูงประมาณ 3-4 ฟุต หนักประมาณ 35-50 ปอนด์ มีผิวสีเทาและมีศีรษะที่ใหญ่มาก
                เหมือน เติมเชื้อฟืน หลังจากการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของลาซาร์ เผยแพร่ออกไป ผู้คนที่สนใจเรื่องนี้จากเดิมที่เคยมาสอดแนมเป็นบางครั้งบางคราว กลับกลายเป็นผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ต่างหลั่งไหลมาคอยจับตา ดูสิ่งบินลึกลับตามที่ลาซาร์บอก และก็มีจำนวนมากเหมือนกันที่บอกว่าเคยเห็นด้วย แต่ทว่าผู้คนที่อาศัยอยู่แถบบริเวณนั้นกลับบอกว่าไม่เคยเห็นมีอะไรผิดปกติ เกิดขึ้นแต่อย่างใด
                แน่ นอนที่ทางรัฐบาลสหรัฐย่อมไม่อยู่เฉยอยู่แล้ว โดยโต้กลับว่าสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่เห็นและอ้างว่าเป็นจานบินนั้น แท้จริงแล้วคือเครื่องบินรุ่นใหม่ ๆ ของกองทัพอากาศต่างหาก โดยทางกองทัพมักจะใช้ที่นี่เป็นสถานที่ทดลองอากาศยานรุ่นใหม่ ๆ ก่อนที่จะออกสู่สายตาสาธารณชน เช่น U-2, A-12, SR-71 และ F-117A นอกจากนี้ยังรวมถึงเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด 2 ชนิดคือ เครื่องบินสอดแนมความเร็วสูงที่เรียกว่า Aurora และเครื่อง B-2 ที่จะมาแทน F-117A ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า
                อย่างไรก็ตาม ถ้าหากใครอยากจะมาดูจริง ๆ ละก็ลองขับรถมาประมาณ 130 ไมล์จากลาสเวกัส ขับตรงมาตรงจุดบอกหลักทางหลวงที่ 29.5 บนทางหลวงเนวาดาที่ 375 ที่ นั้นจะมีตู้รับไปรษณีย์เล็ก ๆ ตู้หนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งเดิมเป็นของพวกคนเลี้ยงวัวใช้กัน คุณสามารถใช้ตู้รับไปรษณีย์นี้เป็นจุดสังเกตเพื่อสอดส่องดูฐานทัพดังกล่าว ได้ นักสังเกตการณ์ หลายคนเคยมาปักหลักดูสิ่งลึกลับกันอยู่เรื่อย ๆ แม้ว่าพวกคนเลี้ยงวัวแถวนั้นจะบอกว่าไม่เคยเห็นอะไรเลยก็ตาม
                อย่าง เคย ทางรัฐบาลสหรัฐบอกว่าที่นั่นมักจะมีการซ้อมรบอยู่เรื่อย ๆ โดยมีการยิงพลุและทำแสงแวบ ๆ อยู่ตลอดบนท้องฟ้า ดังนั้น สิ่งที่พวกนักสังเกตการณ์ทั้งหลายเห็นและคิดไปต่าง ๆ นานาน่าาจะเป็นการซ้อมรบดังกล่าวมากกว่า ยังมีจุดสังเกตการณ์อีก 2 จุดบนพื้นที่ที่เคยอนุญาตให้มาเฝ้าจับตากันได้ คือบริเวณใกล้กับแนวเขตไวท์ไซด์ (White Side) กับ ฟรีด้อม ริดจ์ (Freedom Ridge) ผู้คนทั่วไปสามารถมาคอยจับตาดูความเป็นไปของฐานทัพอากาศเนลลิสดังกล่าวได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่อย่างใด แต่กว่า เสียดายที่ 2 จุดดังกล่าวถูกกองทัพอากาศสั่งปิดเมื่อเดือนเมษายน ปี 1995 นี้เอง
                ยัง…ยังมีอีกจุดที่น่าจะพอเฝ้าดูได้บ้างห่าง ๆ คือบริเวณยอดเขาติคาบู (Tikaboo Peak) จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากมีการทะเร่อทะร่าเข้าไปในเขตห่วงห้ามของ Area 51 แน่ นอนที่จะต้องมีพวกกองกำลังรักษาความปลอดภัยคอยลาดตะเวนอยู่ โดยพวกเขาจะสวมชุดทหารพราน แต่จะไม่ติดเครื่องหมายแสดงยศแต่อย่างใด และจะขับรถจี๊ปเชโรกีสีขาว พร้อมแผ่นประกาศของรัฐบาล ผู้ละเมิดจะถูกจับกุมทันที่ พร้อมถูกปรับอย่างน้อย 600 เหรียญ หรือสองหมื่นสี่พันบาท
                จนบัดนี้รัฐบาลก็ยังปิดปากเงียบว่าสถานที่นี้ใช้ประโยชน์ในเรื่องใดกันแน่
 
 
เมื่อ พูดถึงเรื่องจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวก็คงหนีไม่พ้นจากชื่อสถานที่ Area 51 นี่กันหรอกครับ Area 51 มีพื้นที่ไม่มากนักในทะเลทรายรัฐเนวาด้า ของประเทสสหรัฐอเมริกา เป็นสถานที่ของทหารที่โด่งดังมาก ว่าเกี่ยวข้องกับจานผีเอเลี่ยน อย่างที่ทราบกันนะครับว่า สหรัฐมี 50 รัฐ(ฮาวายเป็นรัฐที่ 50) ซึ่งการเป็นรัฐนั้น ต้องเป็นพื้นที่ที่ให้ความสำคัฐกับประเทศมากครับ ดังนี้ Area 51 จึงแปลตรงๆ ว่ารัฐที่ 51

สถานที่แห่งนี้ แฝงไปด้วยความลับของทางราชการมากครับ มีนักข่าวไปป้วนเยนอยู่เสมอแต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรมากไปกว่าแสงประหลาด ตอนกลางคืน ที่ลอยอยู่เหนือ Area 51 ลับถึงขนาดที่ว่า C.I.A. Central Intelligence Agency ของอเมริกาเองเคยเสียสปายจารกรรมให้สถานที่แห่งนี้ไปถึง 40 คน
 
บ้อบ โรเบิร์ต ลาซาร.์ นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งมาเผยแพร่เรื่องให้สื่อมวลชนทึ่งเกี่ยวกับ Area 51 ว่าเขาเคยทำงานในที่แห่งนี้มาแล้ว บ็อบเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนนี้เขาเป็นนักฟิสิกส์ ทำงานที่ ลอส อะลามอส (ศูนย์ค้นคว้านิวเคลียร์ของอเมริกา) แต่ก็ได้ถูกโยกย้ายมายัง Area 51 บ็อบกล่าวว่าในเขต Area 51 นั้นมีฐานปฎิบัติการใต้ดินอยู่ลึกลงไปหลายชั้น มีนักวิทยาศาสตร์ทำงานอยู่หลายคน และมี ร.ป.ภ.ที่เข้มงวดมากและพวกเขาเหล่านั้นล้วนศึกษาเกี่ยวกับ ระบบการทำงานของจานบินทั้งสิ้น ทหารจะเรียกที่นี่เป็นรหัสว่าศูนย์ S4 ลับสุดยอด ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังไม่มีสิทธิจะเข้ามา นอกจากที่บ็อบจะได้ศึกษาตัวยานแล้ว ยังได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับแหล่งพลังงานของจานบินด้วย เขาอธิบายว่าจานบินนั้นใช้กระบวนการไฮโดรแมกเนติก คือเป็นการใช้ธาตุบางอย่างที่หาได้ตามดาวในจักรวาลทำปฏิกิริยานิวเคลียร์รี แอกชั่น เป็นเตาปฏิกรณ์ที่ยิงพลังงานด้วยโปรตอน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ใน Area 51 นี้กำลังคิดสร้างเตาปฏิกรณ์แอททิแมทเทอร์ขึ้นมาเลียนแบบ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ

หลังจากที่บ็อบออกมาประกาศแก่สื่อมวลชน รัฐบาลสหรัฐก็ออกหมายจับทันที ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรผม็้ไม่ได้ติดตามข่าวล่ะครับ สำหรับความลึกลับของ Area 51 ก็ยังไม่จบง่ายๆ นะครับ รัฐบาลสหรัฐจะออกมาแถลงเมื่อโดนถามถึงเสมอๆว่าเป็นเพียงศูนย์การค้นคว้าด้าน เครื่องบินของด้านการทหาร ซึ่งก็จริงครับ เครื่องบินเสตลธ์สร้างสำเร็จที่นี่ ได้รับสมยานามทางทหารว่า "ปีศาจล่องหน" เพราะเคลือบด้วยวัสดุพิเศษทำให้เครื่องบินหลบเรดาร์ของข้าศึกได้ แต่รัฐบาลสหรัฐก็ไม่เคยยอมบอกว่าวัสดุที่เคลือบนั้นเอามาจากไหนและทำไมถึง หลบเรดาร์ได้ ทั้งยังมีข่าวลือแปลกๆอยู่เสมอ ล่าสุดก็มีข่าวว่า Area 51 จะย้ายออกจากรัฐเนวาด้า ไปยังที่ลับๆ ปราศจากสื่อมวลชนที่คอยตามข่าว

 
 
  พลังขับเคลื่อนยานของมนุษย์ต่างดาว
แหล่งพลังงานของยานบินคือ แอนทิแมทเทอร์ รีแอคเตอร์ (เครื่องปฏิกรณ์ยิงระเบิดสสารที่ประกอบด้วยอนุภาคที่เหมือนกัน แต่มีประจุไฟฟ้าตรงกันข้ามด้วยโปรตรอน) มีท่อกลวงตรงกลางยานจากพื้นขึ้นไปถึงยอด ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นท่อเหนี่ยวนำคลื่นพลังโน้มถ่วงหรือพลังไฟฟ้าที่ผ่านเข้า ไปในนั้น ช่วงล่างของท่อจะเชื่อมติดกับตัวแอนทิแมทเทอร์รีแอคเตอร์ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างคล้ายครึ่งวงกลมคว่ำลง ติดกับพื้นของยาน ท่อกลวงตรงกลางหรือท่อเหนี่ยวนำจะเป็นท่อยาวต่อไปจนถึงยอดบนของยาน

เครื่อง ปฏิกรณ์มีขนาดใหญ่เท่ากับลูกบาสเกตบอล ลักษณะคล้ายครึ่งวงกลมคว่ำลงบนแผ่นโลหะเล็กๆ มันจะส่งสนามพลังหรือสนามกำลังดึงดูดออกมาโดยรอบ ซึ่งในช่วงเวลาที่มันทำงาน ก่อให้เกิดแรงผลักคล้ายแม่เหล็กสองแท่งที่มีขั้วเหมือนกันกระทำปฏิกิริยาต่อ กัน สารหรือธาตุที่เป็นองค์ประกอบเชื้อเพลิงยิ่งน่าสนใจมาก มันคือธาตุที่ 115 ซึ่งตามทฤษฎีกล่าวว่า มันจะปรากฏอยู่รอบๆ ธาตุ 113-114 กลายเป็นธาตุที่มั่นคงและมีการรวมโปรตรอนกับนิวตรอนก่อให้เกิดธาตุใหม่ซึ่ง สามารถนำไปใช้ได้ หากยิงอนุภาคพลังงานด้วยโปรตรอนมันก็จะแตกธาตุจนถึงธาตุ 116 และปล่อยสสารแอนทิแมทเทอร์ออกมา ซึ่งนั่นคือมันจะทำปฏิกิริยากับสสารซึ่งเรียกว่า "ปฏิกิริยาแอนนิไฮโลชั่น"
 
ปฏิกิริยา พื้นฐานดังกล่าวก่อให้เกิดพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ตามท่อเหนี่ยวนำมากขึ้นๆ และพลังที่เพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลนี้เอง ที่ถูกนำไปใช้กับอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ

ธาตุที่ 115 ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลก และไม่สามารถสังเคราะห์ได้เนื่องจากเป็นธาตุที่หนักมาก จากแหล่งข้อมูล ทุกฝ่ายระบุว่าธาตุนี้พบตามธรรมชาติบนโลกหรือดาวเคราะห์ที่ใหญ่กว่าโลกมาก อาจเป็นโลกที่มีพระอาทิตย์สองดวง ในแต่ละครั้งจานบินหรือยานของมนุษย์ต่างดาวจะใช้ธาตุ 115 จำนวนมากถึง 223 กรัม

การที่จานบินบินด้วยความเร็วสูง การบินเลี้ยวกลับเป็นมุมฉาก การหยุดนิ่งกลางอากาศและการเร่งความเร็วของจานบินและการดับเสียงโซนิคบูม รวมถึงการเร่งความเร็วขนาด 22,000 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือมากกว่านั้น กล่าวกันว่า จานบินอาจใช้วิธีอาศัยสนามแรงโน้มถ้วงเทียม หรือบางทีอาจใช้คุณสมบัติพิเศษของมิติและกาลเวลา ซึ่งโลกเรายังไม่คุ้นเคยก็เป็นไปได้

ฐานทัพ UFO
รัฐบาลสหรัฐเคยปฏิเสธการมีตัวตนของพื้นที่ 51 พวกเขาพยายามที่จะปิดบังอะไรไว้ หรือว่ามันคือ ฐานทัพของมนุษย์ต่างดาว ถ้าหากมีคนถามว่าพื้นที่บริเวณใดในสหรัฐเป็นพื้นที่ที่ลึกลับที่สุด เราคงจะได้รับคำตอบว่ามันคือ พื้นที่ 51 หรือ Area 51 นั่นก็อาจเป็นเพราะมีคนจำนวนมากอ้างว่าได้พบเห็นวัตถุบินลึกลับหรือ ยูโฟ (UFO - Unidentified flying object) บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้งจนหลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 น่าจะเป็นฐานทัพหรือกองบัญชาการของวัตถุบินลึกลับ

เช้าวันทำงาน
ทุกๆ เช้าของวันทำงานจะมีคนอย่างน้อย 500 คนผ่านเข้าไปยังประตูทางขึ้นเครื่องบินที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดซึ่งอยู่ทางปีกด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส เจ้าของพื้นที่ที่เป็นเขตหวงห้ามส่วนนี้ก็คือ บริษัท อีจีแอนด์จี (EG&G- Edgerton, Germeshausen, and Grier, Inc.)

ผู้คนเหล่านั้นต้องบอกรหัสผ่าน "เจเน็ท" (JANET) ตามด้วยเลขประจำตัว 3 หลักก่อนที่จะผ่านเข้าไปขึ้นเครื่องโบอิ้ง 737 ที่ไม่มีเครื่องหมายใดๆ ระบุว่าเป็นเครื่องบินของใคร

Janet (airline)

สายการบินนี้จะออกบินทุกๆ ครึ่งชั่วโมงโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ทะเลสาบกรูม (Groom Lake) สถานที่ลึกลับที่หน่วยงานราชการของสหรัฐปฏิเสธการมีตัวตนของมันเมื่อหลายปีก่อน

เขตทดลองเครื่องบินลับ

พื้นที่ 51 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ทะเลสาบกรูม นั้นอยู่ห่างจากลาสเวกัสไปทางตอนเหนือราว 90 ไมล์ อันที่จริงแล้วพื้นที่ 51 เคยเป็นที่ตั้งของฐานทัพทหารแห่งหนึ่งของสหรัฐที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1955 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2

นับตั้งแต่นั้นมาก็มีการใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม เช่น เจ้าวิหคทมิฬ Blackbird (SR71) เครื่องบินขับไล่ล่องหน F117 Stealth Fighter, เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B2 Stealth Bomber อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่วิจัยโครงการลับออโรร่า (Aurora Project)

เคร่องบินรบเหล่านี้จะถูกทำการทดสอบสมรรถนะที่บริเวณทะเลสาบกรูม เมื่อพวกเขาทดสอบเครื่องบินรบ จนเป็นที่พอใจแล้วจึงค่อยประกาศต่อสาธารณชนให้ทราบว่าบัดนี้กองทัพได้สร้างเขี้ยวเล็บอันใหม่ขึ้นมา

ประวัติพื้นที่ 51
เดือนมีนาคม ค.ศ. 1955 เคลลี่ จอห์นสัน (Kelly Johnson) ผู้ออกแบบเครื่องบินจารกรรม U2 ได้รับมอบหมายจากซีไอเอ ให้ออกแบบเครื่องบิน U2 นอกจากนี้แล้วเขายังได้รับมอบหมายให้หาสถานที่เพื่อใช้ทดสอบเจ้า U2 นี้ด้วย

เคลลี่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ โทนี เลอวิเอร์ (Tony Levier) นักบินที่จะทำการบินทดสอบเครื่องบิน U2 กับ
ดอร์ซี่ เคมเมเรอร์ (Dorsey Kammerer) ไปสำรวจพื้นที่ร้างกลางทะเลทรายตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย, เนวาดา และ อริโซนา 2 สัปดาห์ต่อมาโทนีก็กลับมาส่งรายงาน เคลลี่ดูรายงานเปรียบเทียบสถานที่ทั้ง 3 แห่งแล้วก็ตัดสินใจเลือกพื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ในรัฐเนวาดา

ทะเลสาบกรูม มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกมากมายนับตั้งแต่มีการก่อสร้างฐานทัพขึ้น เคลลี่เรียกมันว่า พาราไดซ์แรนช์ (Paradise Ranch - ทุ่งหญ้าสวรรค์) แต่หลังจากมีการทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2 ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1955 มันกลับถูกเรียกสั้นๆ ว่า แรนช์ (The Ranch - ทุ่งหญ้า) ในความเป็นจริงแล้วฐานทัพ(ลับ) แห่งนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า วอร์เตอร์ทาวน์ สตริป (Watertown Strip) ตามชื่อเมืองหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ แอลเลน ดูลเลส (Allen Dulles) ผู้อำนวยการ ซีไอเอ ในสมัยนั้น

ที่มาของชื่อพื้นที่ 51

เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1958 คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู United States Atomic Energy Commission (AEC) ได้เข้ามาใช้พื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ร่วมกับกองทัพสหรัฐ เพื่อทำการทดลองโครงการลับๆบางอย่าง พวกเขาเรียกสถานีทดลองนี้ว่า สถานีทดลองเนวาดา (Nevada Test Site)

คณะกรรมาธิการฯ ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ แล้วกำหนดหมายเลขให้แต่ละส่วน บริเวณส่วนที่เป็นฐานทัพนั้นได้หมายเลข 51

นับตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่ฮอลลีวู้ดสร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลับของรัฐบาลจึงมักจะอ้างถึงทะเลสาบกรูม แต่พวกเขาจะเรียกมันสั้นๆ ว่า พื้นที่ 51 ตามที่คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูใช้เรียก ถึงแม้ว่าการทดลองลับของ AEC จะเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 แล้วก็ตาม

ในปี ค.ศ. 1970 กองทัพอากาศสหรัฐได้เข้ามายึดพื้นที่นี้อย่างถาวรเพื่อใช้เป็นสถานที่ทดลองเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ ตลอดไปจนถึงการทดลองเครื่องบิน มิก 21 และอาวุธทันสมัยอื่นๆ ของรัสเซีย ที่ทางสหรัฐยึดมาได้เมื่อปี ค.ศ. 1967

ปี ค.ศ. 1975 พื้นที่ 51 ได้ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในเขตจำลองการรบทางอากาศ ภายใต้ชื่อรหัสว่า
"ธงแดง" (RED FLAG exercise)

คราวนี้พื้นที่ 51 จึงถูกเรียกสั้นๆ ในชื่อใหม่ว่า "จตุรัสแดง" (Red Square) แต่ชื่อกึ่งเป็นทางการนั้นชื่อ "ดรีมแลนด์" (Dreamland - แดนในฝัน) และในช่วงทศวรรษ 1970 ก็ได้มีการทดลองโครงการด้านอวกาศ และการทดลองเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดคือ "แทคอิทบลู" (Tacit Blue)


ขยายอาณาเขต

ฐานทัพทะเลสาบกรูม ถูกขยายอาณาเขตออกไปอีกในช่วงทศวรรษ 1980 มีการสร้างสนามบินเพิ่มเติมอาคารเก็บเครื่องบินถูกสร้างบนลานบินเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บซ่อนจากสายตาของดาวเทียมจารกรรมที่มีอยู่มากมาย อุปกรณ์สื่อสาร เรดาร์ และจานดาวเทียมได้รับการติดตั้ง ตึกราม อาคาร โกดังหลายแห่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่บนทะเลสาบกรูม คาดว่ามันถูกใช้เป็นกองบัญชาการของศูนย์ทดลองเครื่องบินรบของกองทัพที่ถูกเรียกว่า ดีแทชเมนท์ 3 (Detachment 3)

แม้ว่าจะมีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยแต่ก็ยังไม่วายถูกแอบลักลอบถ่ายภาพเนื่องจากพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบกรูมเป็นภูเขา ในปี ค.ศ. 1984 กองทัพสหรัฐจึงต้องขยายเขตหวงห้ามออกไปอีกโดยหวังว่าจะเป็นการกันไม่ให้มีใครสามารถมองเข้าไปยังในบริเวณฐานทัพได้ แต่ก็ยังมีจุดที่สามารถใช้เป็นที่สอดแนมได้อีก 2 แห่งห่างจากทะเลสาบกรูมไปทางตอนใต้ราว 12 ไมล์ คือที่บริเวณไวท์ไซด์พีค (White Side Peak) กับ ฟรีดอม ริดจ์ (Freedom ridge) เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอาศัยสถานที่ทั้งสองเป็นที่สอดแนมได้อีก ในปี ค.ศ. 1995 กองทัพจึงได้ประกาศให้เขตดังกล่าวเป็นเขตหวงห้ามด้วย

แต่เขตหวงห้ามนั้นได้แต่เพียงแค่ติดป้ายเตือนเท่านั้นไม่มีการล้อมรั้วแต่อย่างใดเพราะพื้นที่เขตหวงห้ามนั้นกินอาณาเขตกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะล้อมรั้วได้

แต่ก็มีการจัดเวรยามโดยใช้หน่วยรักษาความปลอดภัยนิรนามที่พกอาวุธสุดจะทันสมัย อีกทั้งยังมีการติดตั้งเครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะมันสามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หน่วยลาดตระเวณนิรนามนี้เรียกว่า แคโม ดูดส์ (Camo dudes) ซึ่งจะมีหน่วยสนับสนุนทางอากาศที่ใช้เฮลิคอปเตอร์ Sikorsky HH-60G Pave Hawk คอยให้การสนับสนุนทางอากาศ


โครงการลับต่างๆ ที่ใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานีทดลองนั้นค่อยๆ ทยอยจบลง เช่น การทดลองเครื่องบินจารกรรมแทคอิทบลู เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 การทดลองเครื่องบินขีปนาวุธแอดวานซ์ครูซ (Advanced Cruise Missile) ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1992

การทดลองขีปนาวุธ สแตนด์ออฟแอทแทค (Stand-off Attack Missile) ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1994 แต่ถึงกระนั้นกองทัพอากาศสหรัฐก็ยังคงตั้งศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่นั่น

ความลับในพื้นที่ 51

เป็นไปได้ว่ากองทัพอากาศยังคงมีภารกิจอื่นๆ ที่ไม่เป็นที่เปิดเผยในปี ค.ศ. 1989 สถานีโทรทัศน์ลาสเวกัส ได้ถ่ายทอดการให้สัมภาษณ์ โรเบิร์ท ลาซาร์ (Robert Scott Lazar) ผู้ที่อ้างว่าเขาเคยทำงานในพื้นที่ 51

http://www.boblazar.com
โรเบิร์ท กล่าวว่าเขาได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษาวิศวกรรมยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ในพื้นที่ 51 มียานอวกาศรูปทรงกลมคล้ายจานจำนวน 9 ลำบินขึ้น-ลงในเขตหวงห้ามบริเวณที่ชื่อ S4 หรือที่มีชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า บริเวณทะเลสาบปาปูส (Papoose Lake) ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลสาบกรูม ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 10 ไมล์

เรื่องราวของโรเบิร์ทเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก มันทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับที่ผู้คนสงสัย เริ่มปะติดปะต่อขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง ยานบินรูปทรงกลมอาจเป็นการทดลองระบบต้านแรงโน้มถ่วงโลกแน่นอนเทคโนโลยีน่าทึ่งเช่นนี้ต้องถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด

นอกจากนี้ยังมีการทดลองเครื่องบินจารกรรมที่มีความเร็วมากกว่าเสียง 5 เท่า โดยใช้พลังขับเคลื่อนชนิดใหม่ เช่น พัลส์ เดโทเนชั่น เวฟเอนจิน (Pulse Detonation Wave Engine) และเครื่องบินความเร็วสูงที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจน

การทดลองเครื่องบินที่มีความเร็วมากกว่าเสียงหลายเท่าหรือที่เรียกว่ายานไฮมัค (High-Mach Vehicle) โดยสร้างเครื่องบินที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างเครื่องบิน A12 และ D21 หรือที่เรียกกันว่า ซูเปอร์วอลคารี (Super Valkarie) ซึ่งมีคนจำนวนมากที่เคยไปด้อมๆ มองๆ แถวพื้นที่ 51 เคยเห็นมันถูกบินทดสอบ

ยานอวกาศจากต่างดาว

จากคำกล่าวอ้างของโรเบิร์ท S4 เป็นสถานที่ใช้สำหรับศึกษา วิจัยวัตถุบินลึกลับภายใต้ชื่อโครงการ มูนดัสท์ (Moondust) บรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหลายถูกอำพรางอยู่ใต้พิ้นทรายเพื่อหลบเลี่ยงดาวเทียมจารกรรมของรัสเซีย

โรเบิร์ททำงานในห้องทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งชื่อ แบร์รี่ คาสติลลิโอ (Barry Castillio) นักวิจัยแต่ละกลุ่ม จะถูกแยกทำงานในส่วนต่างๆ พวกเขาถูกจำกัดให้มีเพื่อนร่วมงานเพียงแค่ไม่กี่คน แบร์รี่ เป็นเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวที่ช่วยโรเบิร์ท ศึกษาค้นคว้าเรื่องการขับเคลื่อนของยานอวกาศ

วันแรกที่โรเบิร์ท เดินทางถึง S4 เขาถูกนำตัวไปที่ห้องพยาบาลเพื่อทำการตรวจผิวหนัง เขาถูกทาด้วยสารหลายชนิดตามจุดต่างๆ บนแขน วันต่อมาก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจเช็คดูว่าผิวหนังเขาเกิดการพุพองหรือมีอาการแพ้หรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถูกสั่งให้ดื่มสารบางชนิดที่ทำให้ร่างกายของเขามีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น สารนี้ช่วยป้องกันเขาจากสิ่งแปลกปลอมที่อาจได้รับจากการสัมผัสวัตถุที่มาจากต่างดาว

สารที่โรเบิร์ท ดื่มนั้นมีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นต้นสน และในคืนนั้นหลังจากที่เขาได้ดื่มสารสร้างภูมิคุ้มกันเข้าไป เขาก็เกิดอาการเป็นตะคริวที่ท้องน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นผลข้างเคียงมาจากสารสร้างภูมินั้น ต่อมาโรเบิร์ทถูกแนะนำให้รู้จักกับเรเน่ (Rene) ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเรเน่ เป็นใครและมีหน้าที่อะไรใน S4 เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานอยู่ในส่วนของ S4 นั้นมีอยู่แค่เพียง 22 คนเท่านั้น หัวหน้าของโรเบิร์ท ชื่อ เดนนิส มาริอานี (Dennis Mariani)

เขารู้จักเดนนิส ตอนที่ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท อีจีแอนด์จี (EG&G) ซึ่งตอนนั้นยังมีสำนักงานอยู่ที่สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส แต่ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่ฐานทัพอากาศ เนลลิส (Nellis Air Force Base)

ศึกษาข้อมูล

ในวันแรกๆ มีเจ้าหน้าที่พาโรเบิร์ทไปที่ห้องเล็กๆ ที่มีเพียงแค่โต๊ะและเก้าอี้กับแฟ้มเอกสารกว่า 100 แฟ้ม ข้อความในแฟ้มล้วนเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวและเทคโนโลยีมนุษย์ต่างดาว เขาใช้เวลาวันละครึ่งชั่วโมงในการศึกษาข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้น

ข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นบทสรุปให้กับเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่มาทำงานใน S4 ว่างานที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตต่างพิภพ โรเบิร์ท ได้เห็นการทดสอบบินของยานบินรูปทรงประหลาดและยิ่งตกใจมากขึ้นอีก เมื่อเห็นรายงานเขียนว่า มีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานกว่าหมื่นปีแล้ว!

โครงการที่โรเบิร์ท ทำอยู่นั้นเป็นส่วนย่อยของโครงการใหญ่ เขารับผิดชอบเรื่องการค้นคว้าการขับเคลื่อนของยานอวกาศต่างดาวและบทบาทของแรงโน้มถ่วงเพื่อใช้เป็นสื่อในการขับเคลื่อนภายใต้ชื่อ โครงการกาลิเลโอ (Project Galileo)

โดยปรกติเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนจะไม่ได้รับอนุญาติให้มีการติดต่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ แต่ในกรณีของโรเบิร์ทนั้น เขาต้องอาศัยความรู้ในแขนงอื่นด้วยจึงทำให้เขาได้รับอนุญาติเป็นกรณีพิเศษให้ทำการทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มอื่น

หลากหลายโครงการ

โครงการไซด์คิก (Project Sidekick) เป็นหนึ่งในสองโครงการที่โรเบิร์ท ได้รับอนุญาติให้รู้ข้อมูลได้บางส่วน มันเป็นการศึกษาค้นคว้าเรื่องอาวุธลำแสง (Beam Weapon) ที่จะถูกติดตั้งบนเครื่องบินรบ อาวุธลำแสงนี้ต้องอาศัยความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงและการรวมแสงให้เป็นลำ อาวุธชนิดนี้มีอำนาจการทำลายล้างที่สูงมาก

โครงการลุคกิ้งกลาส (Project Looking Glass) เป็นการศึกษาเรื่องกฏกายภาพของการมองเห็นและผลกระทบต่อเวลาและอวกาศ ในการสร้างแรงโน้มถ่วงจำลอง และเช่นกันว่าโครงการนี้ต้องอาศัยความรู้ทางด้านแรงโน้มถ่วง และการควบคุมมัน

การทดลองในโครงการกาลิเลโอ ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โรเบิร์ทได้เห็นรายงานและหลักฐานต่างๆ ที่พิสูจน์ถึงความถูกต้องของมัน ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าโครงการอื่นๆ ที่ทำใน S4 นั้นก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน แต่โรเบิร์ทก็ปฏิเสธที่จะถือเอากรรมสิทธิ์เหนือความสำเร็จนั้น เขากล่าวว่ารายงานการวิจัยที่เขาทำขึ้นเป็นเพียงแค่ตัวอักษรและรูปภาพบนแผ่นกระดาษเท่านั้น

ไม่ว่าการทดลองที่พื้นที่ 51 จะเป็นอะไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเป็นจำนวนมากได้พยายามสอดแนมเข้าไปใกล้ เพื่อบันทึกภาพซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้ดีว่ามีการทดลองเครื่องบินหรือวัตถุบินได้บางชนิดที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น