วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

15 วิธีแก้ "เบื่อ" ก่อนปล่อยให้ปัญหาเรื้อรังทำลายสุขภาพ

เริ่มต้นการทำงานกับเช้าวันจันทร์กันอีกแล้ว หลาย ๆ คนอาจยังไม่พร้อมสำหรับการลุกขึ้นสู้ในวันนี้ รวมถึงอาจมีอาการเบื่อหน่าย อยากนอนพักต่ออีกสักงีบ หรืออีกสักวัน แต่อย่าปล่อยให้ความเบื่อทำร้ายสุขภาพค่ะ เพราะมีการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญจาก University College London ระบุว่า การที่คนเราปล่อยให้ชีวิตน่าเบื่อหน่าย ไม่มีไฟในการทำสิ่งต่าง ๆ นั้นจะดึงคุณให้หันไปหาพฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพตัวเองได้ในที่สุด ยกตัวอย่างเช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เสพยาเสพติด หรือมีปัญหาด้านพฤติกรรม - การเข้าสังคม ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อาจทำให้คุณเสียชีวิตได้ตั้งแต่อายุยังน้อยอีกด้วย

ที่น่าแปลกใจก็คือ ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามที่ตอบโดยกลุ่มอาสาสมัครอายุระหว่าง 35 - 55 ปีจำนวน 7,000 คนในช่วงปี ค.ศ. 1985 - 1988 นั้นพบว่า กลุ่มผู้หญิงเป็นกลุ่มที่มีอาการเบื่อหน่ายในชีวิตสูงสุด

อย่างไรก็ดี มีแนวทางที่ช่วยลดอาการเบื่อลงได้ ซึ่งทางเว็บไซต์ zenhabits.net ได้รวบรวมเอาไว้ 15 ข้อดังนี้

1. หาความท้าทายใหม่ ๆ ให้ชีวิต หลายครั้งที่คนเราเกิดความรู้สึกเบื่อเป็นเพราะชีวิตไม่ได้พบกับความท้าทายใด ๆ เลย มีแต่งานรูทีนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คงจะดีหากคุณตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ ให้กับของชีวิตให้ตัวเอง และพยายามพิชิตมันให้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อย ชีวิตคุณก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว

2. มองหางานใหม่ หากวิเคราะห์แล้วว่าสิ่งที่ทำให้คุณเบื่อก็คืองานที่ทำ คุณอาจจำเป็นต้องคิดถึงการโยกย้ายเอาไว้บ้าง ซึ่งคำแนะนำของทางเว็บไซต์ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องยื่นใบลาออกทันที แต่ให้ลองทำลิสต์รายชื่อของบริษัทที่น่าสนใจ-งานที่คุณคิดว่าจะไม่ทำให้คุณเบื่อ อัปเดตประวัติการทำงาน และลองส่งออกไปก่อนดีกว่าออกมาเดินเตะฝุ่นเล่น ๆ

3. ตั้งเป้าหมายของชีวิต และจดออกมาเป็นข้อ ๆ ถึงสิ่งที่คุณต้องการจะทำให้สำเร็จให้ได้ก่อนที่คุณจะจากโลกนี้ไป ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับงานอย่างเดียว เป็นเรื่องของทัศนคติ มุมมอง หรือความต้องการใด ๆ ก็ได้ แต่หากเคยทำเอาไว้แล้ว ก็ลองหยิบมันขึ้นมาอ่านใหม่อีกสักครั้ง หรือเลือกเป้าหมายชีวิตสักข้อขึ้นมาทำให้สำเร็จในปีนี้

4. เคลียร์โต๊ะทำงาน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับชีวิต และได้ย้ายของที่ไม่จำเป็นออกไปเสียบ้าง หรืออาจใช้เวลานี้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ลองคิดหาวิธีที่จะช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยลง

5. หางานอดิเรกที่ชื่นชอบมาทำ เช่น หาเวลาว่างอ่านหนังสือ เขียนบล็อก เล่นเกม เพื่อหาอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต แต่อย่าให้เบียดบังเวลางานจนกระทั่งถูกเพ่งเล็งจากคนรอบข้าง ควรใช้เวลาว่างก่อนหรือหลังเลิกงานทำงานอดิเรกเหล่านี้จะดีกว่า

6. สมัครคอร์สเรียนพิเศษหาความรู้ให้ตัวเอง ไม่จำเป็นว่าต้องเรียนในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานเสมอไป อาจเป็นการเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มในวันเสาร์ - อาทิตย์ เรียนทำอาหาร เรียนศิลปะ เรียนคอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ได้ที่คุณสนใจ

7. ลาพักผ่อน เขียนใบลาพักร้อนสัก 1 - 2 วัน หนีความเบื่อหน่ายซ้ำซากในชีวิตก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้

8. เดินยืดเส้นยืดสาย

9. ดื่มน้ำเยอะ ๆ

10. โทรศัพท์ - เขียนจดหมายหาคนที่คุณรัก

11. จัดการไฟล์บนคอมพิวเตอร์ให้เป็นระเบียบ

12. เช็คเมลให้หมด หลายคนมีเมลค้างอยู่นับสิบนับร้อยฉบับ ไม่มีเวลาเช็ค ช่วงที่เบื่อ ๆ การเข้าไปเช็คเมลให้หมด ก็อาจได้ข้อมูล - แนวคิดดี ๆ จากเมลเหล่านั้นติดกลับมือออกมาบ้าง

13. วางแผนการเงิน หรือเปลี่ยนวิธีใช้เงินของตัวเอง จากที่เคยใช้หมดไม่เคยเหลือเก็บ ก็ลองมองหารูปแบบการเก็บเงินเหมาะ ๆ ให้กับตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์-อินเทอร์เน็ต ในการช่วยบริหารจัดการรายได้ที่มีให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้นได้ด้วย (อย่างไรก็ดี ควรระวังการป้อนข้อมูลบางชนิดลงไปด้วย เช่น เลขบัตรเครดิต หมายเลขบัญชีธนาคาร ฯลฯ เพราะหากมีการรั่วไหลของข้อมูลแล้ว อาจกลายเป็นความสูญเสียทางการเงินได้)

14. อยู่ห่างจากคนหรือสถานการณ์ที่ทำให้เบื่อ แม้ว่าในชีวิตจริง คนเราจะไม่สามารถหลีกหนีคน-สถานการณ์ที่น่าเบื่อไปได้ แต่การไม่นำสิ่งเหล่านั้นมาคิดต่อก็เป็นการสร้างปราการขึึ้นในจิตใจและช่วยให้คุณมีแรงใจในการทำงานมากขึ้น

15. เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนอื่น เช่น ทำงานเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาล หรือช่วยเลี้ยงเด็กอ่อน ช่วยสอนหนังสือเด็ก ๆ เป็นต้น

Area51 พื้นที่ต้องห้าม..ที่กำความลับกับคนทั้งโลก วิจัยเอเลี่ยน ผลิต UFO

ถ้า จะว่าไปแล้ว ในโลกใบนี้ยังมีสถานที่ลึกลับหรือแปลกประหลาดยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเป็นจำนวน มาก ไม่ว่าจะเป็นโบราณสถาน หรือดินแดนแห่งตำนานต่าง ๆ แต่สำหรับพื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า “เขตพื้นที่ 51” (Area 51) รวม อยู่ในกฎนี้ไหม มันคืออะไร แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งบินลึกลับ (จานบินนั่นแหละ) เชื่อว่าคงเคยได้ยินชื่อนี้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย                 แอเรีย 51 คือ ฐานทัพลับของกองทัพอากาศสหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวลึกเข้าไปในบริเวณต้องห้ามอันกว้างขวางของรัฐบาล ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลทรายเนวาด้า ซึ่งหากคุณๆคิดจะไปเฉียดกรายกันล่ะก็ ลองใช้เวลาสัก 2 ชั่วโมงขับรถไปทางตะวันตกเฉียง หเนือของลาสเวกัส บริเวณที่เป็นที่รู้จักกันดี และมีข่าวลือเกี่ยวกับการทดลองของกองทัพสหรัฐนั้น ได้แก่ Groom Lake และ Papoose Lake ครับ
                โดยทั่วไปเชื่อว่า แอเรีย 51 นี้ เป็นสถานที่ที่ใช้ฝึกและพัฒนาสำหรับโคงการลับที่สุดของทางทหาร โดยเฉพาะ เครื่องบินสอดแนมและเทคโนโลยีทางการบินที่แอบพัฒนากันอยู่ ข่าวลือเกี่ยวกับแอเรีย 51 นี้เริ่มมีหนาหูขึ้น จนประชาชนสงสัยว่าจริงๆแล้ว มีอะไรซ่อนอยู่ที่ฐานทัพแห่งนี้ มีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมารายงานว่า ได้เห็นวัตถุประหลาดลอยอยู่เหนือฐานทัพ และหลายคนกล่าวว่า กองทัพได้ใช้ฐานทัพนี้ ในการศึกษาจานบินและมนุษย์ต่างดาวที่พวกเขาจับกุมกันมาได้ด้วย
                เขตพื้นที่ 51 เป็นชื่อเรียกของพื้นที่เขตหวงห้ามของรัฐบาลสหรัฐตั้งอยู่ทางเหนือของลาสเวกัสประมาณ 95 ไมล์ และ 13 ไมล์ทางตะวันตก ทางหลวงสายที่ 375 บนถนนกรูมเลค (Grom Lake Road) ใกล้กับเมืองราเชล (Rachel) พื้นที่นี้ล้อมรอบไปด้วยเขตทดลองของรัฐเนวาด้า (The Nevada Test Site) และเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศเนลลิส (Nellis Air Force Range) ที่เรียกว่าพื้นที่ 51 ก็เพราะเป็นชื่อจุดที่ตั้งซึ่งปรากฎบนแผนที่ ของเขตทดลองเนวาดา
                ที่แห่งนี้มีการร่ำลือกันมานานแล้วว่าเป็น ที่ที่ใช้ซ่อนจานบินและมนุษย์ต่างดาวซึ่งตกในรอสเวล (Roswell) และ รัฐบาลได้ปกปิดเรื่องนี้อย่างสุดฤทธิ์แต่ดูเหมือนยิ่งปิดก็ยิ่งกระตุ่น ต่อมอยากรู้ของผู้คนทั่วไป โดยมีการอ้างถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของผู้ที่เกี่ยวข้องและ ไม่เกี่ยวข้อง รายที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นรายของ บ๊อบ ลาซาร์ (Bob Lazar)
                บ๊อบ ลาซาร์ เป็นชาวลาสเวกัส เขาอ้างว่าเคยทำงานอยู่ในเขตพื้นที่นี้ในช่วงปี 1988 – 1989 โดย ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษแผนกอากาศยาน เขากล่าวว่าในเขตพื้นที่นี้มีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยมาก และเขายังได้เห็น วัตถุสิ่งบินขนาดใหญ่สิ่งหนึ่ง ซึ่งเขาบอกได้เลยในทันทีว่านั้นเป็นจานบินอย่างแน่นอน เขาบอกว่าวัตถุสิ่งบินที่ลึกลับนี้อยู่ในส่วนที่เรียกว่า เอส-โฟร์ (S-4) ในปาปูส เลค (Papoose Lake) ซึ่ง อยู่ทางใต้ของกรูมเลค ที่นั่นถูกก่อสร้างให้พรางตา กลมกลืนไปกับพื้นทะเลทรายโดยรอบ หากดูอย่างผิวเผินแล้วจะไม่มีทางสังเกตเห็นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ลาซาร์ ยังบอกว่าเขาได้พบมนุษย์ต่างดาวภายในนี้ด้วย โดยบอกว่าเป็น “สิ่งมีชีวิต” ที่สูงประมาณ 3-4 ฟุต หนักประมาณ 35-50 ปอนด์ มีผิวสีเทาและมีศีรษะที่ใหญ่มาก
                เหมือน เติมเชื้อฟืน หลังจากการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของลาซาร์ เผยแพร่ออกไป ผู้คนที่สนใจเรื่องนี้จากเดิมที่เคยมาสอดแนมเป็นบางครั้งบางคราว กลับกลายเป็นผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ต่างหลั่งไหลมาคอยจับตา ดูสิ่งบินลึกลับตามที่ลาซาร์บอก และก็มีจำนวนมากเหมือนกันที่บอกว่าเคยเห็นด้วย แต่ทว่าผู้คนที่อาศัยอยู่แถบบริเวณนั้นกลับบอกว่าไม่เคยเห็นมีอะไรผิดปกติ เกิดขึ้นแต่อย่างใด
                แน่ นอนที่ทางรัฐบาลสหรัฐย่อมไม่อยู่เฉยอยู่แล้ว โดยโต้กลับว่าสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่เห็นและอ้างว่าเป็นจานบินนั้น แท้จริงแล้วคือเครื่องบินรุ่นใหม่ ๆ ของกองทัพอากาศต่างหาก โดยทางกองทัพมักจะใช้ที่นี่เป็นสถานที่ทดลองอากาศยานรุ่นใหม่ ๆ ก่อนที่จะออกสู่สายตาสาธารณชน เช่น U-2, A-12, SR-71 และ F-117A นอกจากนี้ยังรวมถึงเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด 2 ชนิดคือ เครื่องบินสอดแนมความเร็วสูงที่เรียกว่า Aurora และเครื่อง B-2 ที่จะมาแทน F-117A ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า
                อย่างไรก็ตาม ถ้าหากใครอยากจะมาดูจริง ๆ ละก็ลองขับรถมาประมาณ 130 ไมล์จากลาสเวกัส ขับตรงมาตรงจุดบอกหลักทางหลวงที่ 29.5 บนทางหลวงเนวาดาที่ 375 ที่ นั้นจะมีตู้รับไปรษณีย์เล็ก ๆ ตู้หนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งเดิมเป็นของพวกคนเลี้ยงวัวใช้กัน คุณสามารถใช้ตู้รับไปรษณีย์นี้เป็นจุดสังเกตเพื่อสอดส่องดูฐานทัพดังกล่าว ได้ นักสังเกตการณ์ หลายคนเคยมาปักหลักดูสิ่งลึกลับกันอยู่เรื่อย ๆ แม้ว่าพวกคนเลี้ยงวัวแถวนั้นจะบอกว่าไม่เคยเห็นอะไรเลยก็ตาม
                อย่าง เคย ทางรัฐบาลสหรัฐบอกว่าที่นั่นมักจะมีการซ้อมรบอยู่เรื่อย ๆ โดยมีการยิงพลุและทำแสงแวบ ๆ อยู่ตลอดบนท้องฟ้า ดังนั้น สิ่งที่พวกนักสังเกตการณ์ทั้งหลายเห็นและคิดไปต่าง ๆ นานาน่าาจะเป็นการซ้อมรบดังกล่าวมากกว่า ยังมีจุดสังเกตการณ์อีก 2 จุดบนพื้นที่ที่เคยอนุญาตให้มาเฝ้าจับตากันได้ คือบริเวณใกล้กับแนวเขตไวท์ไซด์ (White Side) กับ ฟรีด้อม ริดจ์ (Freedom Ridge) ผู้คนทั่วไปสามารถมาคอยจับตาดูความเป็นไปของฐานทัพอากาศเนลลิสดังกล่าวได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่อย่างใด แต่กว่า เสียดายที่ 2 จุดดังกล่าวถูกกองทัพอากาศสั่งปิดเมื่อเดือนเมษายน ปี 1995 นี้เอง
                ยัง…ยังมีอีกจุดที่น่าจะพอเฝ้าดูได้บ้างห่าง ๆ คือบริเวณยอดเขาติคาบู (Tikaboo Peak) จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากมีการทะเร่อทะร่าเข้าไปในเขตห่วงห้ามของ Area 51 แน่ นอนที่จะต้องมีพวกกองกำลังรักษาความปลอดภัยคอยลาดตะเวนอยู่ โดยพวกเขาจะสวมชุดทหารพราน แต่จะไม่ติดเครื่องหมายแสดงยศแต่อย่างใด และจะขับรถจี๊ปเชโรกีสีขาว พร้อมแผ่นประกาศของรัฐบาล ผู้ละเมิดจะถูกจับกุมทันที่ พร้อมถูกปรับอย่างน้อย 600 เหรียญ หรือสองหมื่นสี่พันบาท
                จนบัดนี้รัฐบาลก็ยังปิดปากเงียบว่าสถานที่นี้ใช้ประโยชน์ในเรื่องใดกันแน่
 
 
เมื่อ พูดถึงเรื่องจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวก็คงหนีไม่พ้นจากชื่อสถานที่ Area 51 นี่กันหรอกครับ Area 51 มีพื้นที่ไม่มากนักในทะเลทรายรัฐเนวาด้า ของประเทสสหรัฐอเมริกา เป็นสถานที่ของทหารที่โด่งดังมาก ว่าเกี่ยวข้องกับจานผีเอเลี่ยน อย่างที่ทราบกันนะครับว่า สหรัฐมี 50 รัฐ(ฮาวายเป็นรัฐที่ 50) ซึ่งการเป็นรัฐนั้น ต้องเป็นพื้นที่ที่ให้ความสำคัฐกับประเทศมากครับ ดังนี้ Area 51 จึงแปลตรงๆ ว่ารัฐที่ 51

สถานที่แห่งนี้ แฝงไปด้วยความลับของทางราชการมากครับ มีนักข่าวไปป้วนเยนอยู่เสมอแต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรมากไปกว่าแสงประหลาด ตอนกลางคืน ที่ลอยอยู่เหนือ Area 51 ลับถึงขนาดที่ว่า C.I.A. Central Intelligence Agency ของอเมริกาเองเคยเสียสปายจารกรรมให้สถานที่แห่งนี้ไปถึง 40 คน
 
บ้อบ โรเบิร์ต ลาซาร.์ นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งมาเผยแพร่เรื่องให้สื่อมวลชนทึ่งเกี่ยวกับ Area 51 ว่าเขาเคยทำงานในที่แห่งนี้มาแล้ว บ็อบเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนนี้เขาเป็นนักฟิสิกส์ ทำงานที่ ลอส อะลามอส (ศูนย์ค้นคว้านิวเคลียร์ของอเมริกา) แต่ก็ได้ถูกโยกย้ายมายัง Area 51 บ็อบกล่าวว่าในเขต Area 51 นั้นมีฐานปฎิบัติการใต้ดินอยู่ลึกลงไปหลายชั้น มีนักวิทยาศาสตร์ทำงานอยู่หลายคน และมี ร.ป.ภ.ที่เข้มงวดมากและพวกเขาเหล่านั้นล้วนศึกษาเกี่ยวกับ ระบบการทำงานของจานบินทั้งสิ้น ทหารจะเรียกที่นี่เป็นรหัสว่าศูนย์ S4 ลับสุดยอด ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังไม่มีสิทธิจะเข้ามา นอกจากที่บ็อบจะได้ศึกษาตัวยานแล้ว ยังได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับแหล่งพลังงานของจานบินด้วย เขาอธิบายว่าจานบินนั้นใช้กระบวนการไฮโดรแมกเนติก คือเป็นการใช้ธาตุบางอย่างที่หาได้ตามดาวในจักรวาลทำปฏิกิริยานิวเคลียร์รี แอกชั่น เป็นเตาปฏิกรณ์ที่ยิงพลังงานด้วยโปรตอน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ใน Area 51 นี้กำลังคิดสร้างเตาปฏิกรณ์แอททิแมทเทอร์ขึ้นมาเลียนแบบ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ

หลังจากที่บ็อบออกมาประกาศแก่สื่อมวลชน รัฐบาลสหรัฐก็ออกหมายจับทันที ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรผม็้ไม่ได้ติดตามข่าวล่ะครับ สำหรับความลึกลับของ Area 51 ก็ยังไม่จบง่ายๆ นะครับ รัฐบาลสหรัฐจะออกมาแถลงเมื่อโดนถามถึงเสมอๆว่าเป็นเพียงศูนย์การค้นคว้าด้าน เครื่องบินของด้านการทหาร ซึ่งก็จริงครับ เครื่องบินเสตลธ์สร้างสำเร็จที่นี่ ได้รับสมยานามทางทหารว่า "ปีศาจล่องหน" เพราะเคลือบด้วยวัสดุพิเศษทำให้เครื่องบินหลบเรดาร์ของข้าศึกได้ แต่รัฐบาลสหรัฐก็ไม่เคยยอมบอกว่าวัสดุที่เคลือบนั้นเอามาจากไหนและทำไมถึง หลบเรดาร์ได้ ทั้งยังมีข่าวลือแปลกๆอยู่เสมอ ล่าสุดก็มีข่าวว่า Area 51 จะย้ายออกจากรัฐเนวาด้า ไปยังที่ลับๆ ปราศจากสื่อมวลชนที่คอยตามข่าว

 
 
  พลังขับเคลื่อนยานของมนุษย์ต่างดาว
แหล่งพลังงานของยานบินคือ แอนทิแมทเทอร์ รีแอคเตอร์ (เครื่องปฏิกรณ์ยิงระเบิดสสารที่ประกอบด้วยอนุภาคที่เหมือนกัน แต่มีประจุไฟฟ้าตรงกันข้ามด้วยโปรตรอน) มีท่อกลวงตรงกลางยานจากพื้นขึ้นไปถึงยอด ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นท่อเหนี่ยวนำคลื่นพลังโน้มถ่วงหรือพลังไฟฟ้าที่ผ่านเข้า ไปในนั้น ช่วงล่างของท่อจะเชื่อมติดกับตัวแอนทิแมทเทอร์รีแอคเตอร์ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างคล้ายครึ่งวงกลมคว่ำลง ติดกับพื้นของยาน ท่อกลวงตรงกลางหรือท่อเหนี่ยวนำจะเป็นท่อยาวต่อไปจนถึงยอดบนของยาน

เครื่อง ปฏิกรณ์มีขนาดใหญ่เท่ากับลูกบาสเกตบอล ลักษณะคล้ายครึ่งวงกลมคว่ำลงบนแผ่นโลหะเล็กๆ มันจะส่งสนามพลังหรือสนามกำลังดึงดูดออกมาโดยรอบ ซึ่งในช่วงเวลาที่มันทำงาน ก่อให้เกิดแรงผลักคล้ายแม่เหล็กสองแท่งที่มีขั้วเหมือนกันกระทำปฏิกิริยาต่อ กัน สารหรือธาตุที่เป็นองค์ประกอบเชื้อเพลิงยิ่งน่าสนใจมาก มันคือธาตุที่ 115 ซึ่งตามทฤษฎีกล่าวว่า มันจะปรากฏอยู่รอบๆ ธาตุ 113-114 กลายเป็นธาตุที่มั่นคงและมีการรวมโปรตรอนกับนิวตรอนก่อให้เกิดธาตุใหม่ซึ่ง สามารถนำไปใช้ได้ หากยิงอนุภาคพลังงานด้วยโปรตรอนมันก็จะแตกธาตุจนถึงธาตุ 116 และปล่อยสสารแอนทิแมทเทอร์ออกมา ซึ่งนั่นคือมันจะทำปฏิกิริยากับสสารซึ่งเรียกว่า "ปฏิกิริยาแอนนิไฮโลชั่น"
 
ปฏิกิริยา พื้นฐานดังกล่าวก่อให้เกิดพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ตามท่อเหนี่ยวนำมากขึ้นๆ และพลังที่เพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลนี้เอง ที่ถูกนำไปใช้กับอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ

ธาตุที่ 115 ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลก และไม่สามารถสังเคราะห์ได้เนื่องจากเป็นธาตุที่หนักมาก จากแหล่งข้อมูล ทุกฝ่ายระบุว่าธาตุนี้พบตามธรรมชาติบนโลกหรือดาวเคราะห์ที่ใหญ่กว่าโลกมาก อาจเป็นโลกที่มีพระอาทิตย์สองดวง ในแต่ละครั้งจานบินหรือยานของมนุษย์ต่างดาวจะใช้ธาตุ 115 จำนวนมากถึง 223 กรัม

การที่จานบินบินด้วยความเร็วสูง การบินเลี้ยวกลับเป็นมุมฉาก การหยุดนิ่งกลางอากาศและการเร่งความเร็วของจานบินและการดับเสียงโซนิคบูม รวมถึงการเร่งความเร็วขนาด 22,000 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือมากกว่านั้น กล่าวกันว่า จานบินอาจใช้วิธีอาศัยสนามแรงโน้มถ้วงเทียม หรือบางทีอาจใช้คุณสมบัติพิเศษของมิติและกาลเวลา ซึ่งโลกเรายังไม่คุ้นเคยก็เป็นไปได้

ฐานทัพ UFO
รัฐบาลสหรัฐเคยปฏิเสธการมีตัวตนของพื้นที่ 51 พวกเขาพยายามที่จะปิดบังอะไรไว้ หรือว่ามันคือ ฐานทัพของมนุษย์ต่างดาว ถ้าหากมีคนถามว่าพื้นที่บริเวณใดในสหรัฐเป็นพื้นที่ที่ลึกลับที่สุด เราคงจะได้รับคำตอบว่ามันคือ พื้นที่ 51 หรือ Area 51 นั่นก็อาจเป็นเพราะมีคนจำนวนมากอ้างว่าได้พบเห็นวัตถุบินลึกลับหรือ ยูโฟ (UFO - Unidentified flying object) บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้งจนหลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 น่าจะเป็นฐานทัพหรือกองบัญชาการของวัตถุบินลึกลับ

เช้าวันทำงาน
ทุกๆ เช้าของวันทำงานจะมีคนอย่างน้อย 500 คนผ่านเข้าไปยังประตูทางขึ้นเครื่องบินที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดซึ่งอยู่ทางปีกด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส เจ้าของพื้นที่ที่เป็นเขตหวงห้ามส่วนนี้ก็คือ บริษัท อีจีแอนด์จี (EG&G- Edgerton, Germeshausen, and Grier, Inc.)

ผู้คนเหล่านั้นต้องบอกรหัสผ่าน "เจเน็ท" (JANET) ตามด้วยเลขประจำตัว 3 หลักก่อนที่จะผ่านเข้าไปขึ้นเครื่องโบอิ้ง 737 ที่ไม่มีเครื่องหมายใดๆ ระบุว่าเป็นเครื่องบินของใคร

Janet (airline)

สายการบินนี้จะออกบินทุกๆ ครึ่งชั่วโมงโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ทะเลสาบกรูม (Groom Lake) สถานที่ลึกลับที่หน่วยงานราชการของสหรัฐปฏิเสธการมีตัวตนของมันเมื่อหลายปีก่อน

เขตทดลองเครื่องบินลับ

พื้นที่ 51 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ทะเลสาบกรูม นั้นอยู่ห่างจากลาสเวกัสไปทางตอนเหนือราว 90 ไมล์ อันที่จริงแล้วพื้นที่ 51 เคยเป็นที่ตั้งของฐานทัพทหารแห่งหนึ่งของสหรัฐที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1955 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2

นับตั้งแต่นั้นมาก็มีการใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม เช่น เจ้าวิหคทมิฬ Blackbird (SR71) เครื่องบินขับไล่ล่องหน F117 Stealth Fighter, เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B2 Stealth Bomber อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่วิจัยโครงการลับออโรร่า (Aurora Project)

เคร่องบินรบเหล่านี้จะถูกทำการทดสอบสมรรถนะที่บริเวณทะเลสาบกรูม เมื่อพวกเขาทดสอบเครื่องบินรบ จนเป็นที่พอใจแล้วจึงค่อยประกาศต่อสาธารณชนให้ทราบว่าบัดนี้กองทัพได้สร้างเขี้ยวเล็บอันใหม่ขึ้นมา

ประวัติพื้นที่ 51
เดือนมีนาคม ค.ศ. 1955 เคลลี่ จอห์นสัน (Kelly Johnson) ผู้ออกแบบเครื่องบินจารกรรม U2 ได้รับมอบหมายจากซีไอเอ ให้ออกแบบเครื่องบิน U2 นอกจากนี้แล้วเขายังได้รับมอบหมายให้หาสถานที่เพื่อใช้ทดสอบเจ้า U2 นี้ด้วย

เคลลี่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ โทนี เลอวิเอร์ (Tony Levier) นักบินที่จะทำการบินทดสอบเครื่องบิน U2 กับ
ดอร์ซี่ เคมเมเรอร์ (Dorsey Kammerer) ไปสำรวจพื้นที่ร้างกลางทะเลทรายตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย, เนวาดา และ อริโซนา 2 สัปดาห์ต่อมาโทนีก็กลับมาส่งรายงาน เคลลี่ดูรายงานเปรียบเทียบสถานที่ทั้ง 3 แห่งแล้วก็ตัดสินใจเลือกพื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ในรัฐเนวาดา

ทะเลสาบกรูม มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกมากมายนับตั้งแต่มีการก่อสร้างฐานทัพขึ้น เคลลี่เรียกมันว่า พาราไดซ์แรนช์ (Paradise Ranch - ทุ่งหญ้าสวรรค์) แต่หลังจากมีการทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2 ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1955 มันกลับถูกเรียกสั้นๆ ว่า แรนช์ (The Ranch - ทุ่งหญ้า) ในความเป็นจริงแล้วฐานทัพ(ลับ) แห่งนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า วอร์เตอร์ทาวน์ สตริป (Watertown Strip) ตามชื่อเมืองหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ แอลเลน ดูลเลส (Allen Dulles) ผู้อำนวยการ ซีไอเอ ในสมัยนั้น

ที่มาของชื่อพื้นที่ 51

เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1958 คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู United States Atomic Energy Commission (AEC) ได้เข้ามาใช้พื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ร่วมกับกองทัพสหรัฐ เพื่อทำการทดลองโครงการลับๆบางอย่าง พวกเขาเรียกสถานีทดลองนี้ว่า สถานีทดลองเนวาดา (Nevada Test Site)

คณะกรรมาธิการฯ ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ แล้วกำหนดหมายเลขให้แต่ละส่วน บริเวณส่วนที่เป็นฐานทัพนั้นได้หมายเลข 51

นับตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่ฮอลลีวู้ดสร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลับของรัฐบาลจึงมักจะอ้างถึงทะเลสาบกรูม แต่พวกเขาจะเรียกมันสั้นๆ ว่า พื้นที่ 51 ตามที่คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูใช้เรียก ถึงแม้ว่าการทดลองลับของ AEC จะเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 แล้วก็ตาม

ในปี ค.ศ. 1970 กองทัพอากาศสหรัฐได้เข้ามายึดพื้นที่นี้อย่างถาวรเพื่อใช้เป็นสถานที่ทดลองเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ ตลอดไปจนถึงการทดลองเครื่องบิน มิก 21 และอาวุธทันสมัยอื่นๆ ของรัสเซีย ที่ทางสหรัฐยึดมาได้เมื่อปี ค.ศ. 1967

ปี ค.ศ. 1975 พื้นที่ 51 ได้ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในเขตจำลองการรบทางอากาศ ภายใต้ชื่อรหัสว่า
"ธงแดง" (RED FLAG exercise)

คราวนี้พื้นที่ 51 จึงถูกเรียกสั้นๆ ในชื่อใหม่ว่า "จตุรัสแดง" (Red Square) แต่ชื่อกึ่งเป็นทางการนั้นชื่อ "ดรีมแลนด์" (Dreamland - แดนในฝัน) และในช่วงทศวรรษ 1970 ก็ได้มีการทดลองโครงการด้านอวกาศ และการทดลองเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดคือ "แทคอิทบลู" (Tacit Blue)


ขยายอาณาเขต

ฐานทัพทะเลสาบกรูม ถูกขยายอาณาเขตออกไปอีกในช่วงทศวรรษ 1980 มีการสร้างสนามบินเพิ่มเติมอาคารเก็บเครื่องบินถูกสร้างบนลานบินเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บซ่อนจากสายตาของดาวเทียมจารกรรมที่มีอยู่มากมาย อุปกรณ์สื่อสาร เรดาร์ และจานดาวเทียมได้รับการติดตั้ง ตึกราม อาคาร โกดังหลายแห่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่บนทะเลสาบกรูม คาดว่ามันถูกใช้เป็นกองบัญชาการของศูนย์ทดลองเครื่องบินรบของกองทัพที่ถูกเรียกว่า ดีแทชเมนท์ 3 (Detachment 3)

แม้ว่าจะมีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยแต่ก็ยังไม่วายถูกแอบลักลอบถ่ายภาพเนื่องจากพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบกรูมเป็นภูเขา ในปี ค.ศ. 1984 กองทัพสหรัฐจึงต้องขยายเขตหวงห้ามออกไปอีกโดยหวังว่าจะเป็นการกันไม่ให้มีใครสามารถมองเข้าไปยังในบริเวณฐานทัพได้ แต่ก็ยังมีจุดที่สามารถใช้เป็นที่สอดแนมได้อีก 2 แห่งห่างจากทะเลสาบกรูมไปทางตอนใต้ราว 12 ไมล์ คือที่บริเวณไวท์ไซด์พีค (White Side Peak) กับ ฟรีดอม ริดจ์ (Freedom ridge) เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอาศัยสถานที่ทั้งสองเป็นที่สอดแนมได้อีก ในปี ค.ศ. 1995 กองทัพจึงได้ประกาศให้เขตดังกล่าวเป็นเขตหวงห้ามด้วย

แต่เขตหวงห้ามนั้นได้แต่เพียงแค่ติดป้ายเตือนเท่านั้นไม่มีการล้อมรั้วแต่อย่างใดเพราะพื้นที่เขตหวงห้ามนั้นกินอาณาเขตกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะล้อมรั้วได้

แต่ก็มีการจัดเวรยามโดยใช้หน่วยรักษาความปลอดภัยนิรนามที่พกอาวุธสุดจะทันสมัย อีกทั้งยังมีการติดตั้งเครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะมันสามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หน่วยลาดตระเวณนิรนามนี้เรียกว่า แคโม ดูดส์ (Camo dudes) ซึ่งจะมีหน่วยสนับสนุนทางอากาศที่ใช้เฮลิคอปเตอร์ Sikorsky HH-60G Pave Hawk คอยให้การสนับสนุนทางอากาศ


โครงการลับต่างๆ ที่ใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานีทดลองนั้นค่อยๆ ทยอยจบลง เช่น การทดลองเครื่องบินจารกรรมแทคอิทบลู เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 การทดลองเครื่องบินขีปนาวุธแอดวานซ์ครูซ (Advanced Cruise Missile) ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1992

การทดลองขีปนาวุธ สแตนด์ออฟแอทแทค (Stand-off Attack Missile) ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1994 แต่ถึงกระนั้นกองทัพอากาศสหรัฐก็ยังคงตั้งศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่นั่น

ความลับในพื้นที่ 51

เป็นไปได้ว่ากองทัพอากาศยังคงมีภารกิจอื่นๆ ที่ไม่เป็นที่เปิดเผยในปี ค.ศ. 1989 สถานีโทรทัศน์ลาสเวกัส ได้ถ่ายทอดการให้สัมภาษณ์ โรเบิร์ท ลาซาร์ (Robert Scott Lazar) ผู้ที่อ้างว่าเขาเคยทำงานในพื้นที่ 51

http://www.boblazar.com
โรเบิร์ท กล่าวว่าเขาได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษาวิศวกรรมยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ในพื้นที่ 51 มียานอวกาศรูปทรงกลมคล้ายจานจำนวน 9 ลำบินขึ้น-ลงในเขตหวงห้ามบริเวณที่ชื่อ S4 หรือที่มีชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า บริเวณทะเลสาบปาปูส (Papoose Lake) ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลสาบกรูม ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 10 ไมล์

เรื่องราวของโรเบิร์ทเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก มันทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับที่ผู้คนสงสัย เริ่มปะติดปะต่อขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง ยานบินรูปทรงกลมอาจเป็นการทดลองระบบต้านแรงโน้มถ่วงโลกแน่นอนเทคโนโลยีน่าทึ่งเช่นนี้ต้องถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด

นอกจากนี้ยังมีการทดลองเครื่องบินจารกรรมที่มีความเร็วมากกว่าเสียง 5 เท่า โดยใช้พลังขับเคลื่อนชนิดใหม่ เช่น พัลส์ เดโทเนชั่น เวฟเอนจิน (Pulse Detonation Wave Engine) และเครื่องบินความเร็วสูงที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจน

การทดลองเครื่องบินที่มีความเร็วมากกว่าเสียงหลายเท่าหรือที่เรียกว่ายานไฮมัค (High-Mach Vehicle) โดยสร้างเครื่องบินที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างเครื่องบิน A12 และ D21 หรือที่เรียกกันว่า ซูเปอร์วอลคารี (Super Valkarie) ซึ่งมีคนจำนวนมากที่เคยไปด้อมๆ มองๆ แถวพื้นที่ 51 เคยเห็นมันถูกบินทดสอบ

ยานอวกาศจากต่างดาว

จากคำกล่าวอ้างของโรเบิร์ท S4 เป็นสถานที่ใช้สำหรับศึกษา วิจัยวัตถุบินลึกลับภายใต้ชื่อโครงการ มูนดัสท์ (Moondust) บรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหลายถูกอำพรางอยู่ใต้พิ้นทรายเพื่อหลบเลี่ยงดาวเทียมจารกรรมของรัสเซีย

โรเบิร์ททำงานในห้องทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งชื่อ แบร์รี่ คาสติลลิโอ (Barry Castillio) นักวิจัยแต่ละกลุ่ม จะถูกแยกทำงานในส่วนต่างๆ พวกเขาถูกจำกัดให้มีเพื่อนร่วมงานเพียงแค่ไม่กี่คน แบร์รี่ เป็นเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวที่ช่วยโรเบิร์ท ศึกษาค้นคว้าเรื่องการขับเคลื่อนของยานอวกาศ

วันแรกที่โรเบิร์ท เดินทางถึง S4 เขาถูกนำตัวไปที่ห้องพยาบาลเพื่อทำการตรวจผิวหนัง เขาถูกทาด้วยสารหลายชนิดตามจุดต่างๆ บนแขน วันต่อมาก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจเช็คดูว่าผิวหนังเขาเกิดการพุพองหรือมีอาการแพ้หรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถูกสั่งให้ดื่มสารบางชนิดที่ทำให้ร่างกายของเขามีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น สารนี้ช่วยป้องกันเขาจากสิ่งแปลกปลอมที่อาจได้รับจากการสัมผัสวัตถุที่มาจากต่างดาว

สารที่โรเบิร์ท ดื่มนั้นมีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นต้นสน และในคืนนั้นหลังจากที่เขาได้ดื่มสารสร้างภูมิคุ้มกันเข้าไป เขาก็เกิดอาการเป็นตะคริวที่ท้องน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นผลข้างเคียงมาจากสารสร้างภูมินั้น ต่อมาโรเบิร์ทถูกแนะนำให้รู้จักกับเรเน่ (Rene) ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเรเน่ เป็นใครและมีหน้าที่อะไรใน S4 เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานอยู่ในส่วนของ S4 นั้นมีอยู่แค่เพียง 22 คนเท่านั้น หัวหน้าของโรเบิร์ท ชื่อ เดนนิส มาริอานี (Dennis Mariani)

เขารู้จักเดนนิส ตอนที่ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท อีจีแอนด์จี (EG&G) ซึ่งตอนนั้นยังมีสำนักงานอยู่ที่สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส แต่ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่ฐานทัพอากาศ เนลลิส (Nellis Air Force Base)

ศึกษาข้อมูล

ในวันแรกๆ มีเจ้าหน้าที่พาโรเบิร์ทไปที่ห้องเล็กๆ ที่มีเพียงแค่โต๊ะและเก้าอี้กับแฟ้มเอกสารกว่า 100 แฟ้ม ข้อความในแฟ้มล้วนเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวและเทคโนโลยีมนุษย์ต่างดาว เขาใช้เวลาวันละครึ่งชั่วโมงในการศึกษาข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้น

ข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นบทสรุปให้กับเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่มาทำงานใน S4 ว่างานที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตต่างพิภพ โรเบิร์ท ได้เห็นการทดสอบบินของยานบินรูปทรงประหลาดและยิ่งตกใจมากขึ้นอีก เมื่อเห็นรายงานเขียนว่า มีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานกว่าหมื่นปีแล้ว!

โครงการที่โรเบิร์ท ทำอยู่นั้นเป็นส่วนย่อยของโครงการใหญ่ เขารับผิดชอบเรื่องการค้นคว้าการขับเคลื่อนของยานอวกาศต่างดาวและบทบาทของแรงโน้มถ่วงเพื่อใช้เป็นสื่อในการขับเคลื่อนภายใต้ชื่อ โครงการกาลิเลโอ (Project Galileo)

โดยปรกติเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนจะไม่ได้รับอนุญาติให้มีการติดต่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ แต่ในกรณีของโรเบิร์ทนั้น เขาต้องอาศัยความรู้ในแขนงอื่นด้วยจึงทำให้เขาได้รับอนุญาติเป็นกรณีพิเศษให้ทำการทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มอื่น

หลากหลายโครงการ

โครงการไซด์คิก (Project Sidekick) เป็นหนึ่งในสองโครงการที่โรเบิร์ท ได้รับอนุญาติให้รู้ข้อมูลได้บางส่วน มันเป็นการศึกษาค้นคว้าเรื่องอาวุธลำแสง (Beam Weapon) ที่จะถูกติดตั้งบนเครื่องบินรบ อาวุธลำแสงนี้ต้องอาศัยความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงและการรวมแสงให้เป็นลำ อาวุธชนิดนี้มีอำนาจการทำลายล้างที่สูงมาก

โครงการลุคกิ้งกลาส (Project Looking Glass) เป็นการศึกษาเรื่องกฏกายภาพของการมองเห็นและผลกระทบต่อเวลาและอวกาศ ในการสร้างแรงโน้มถ่วงจำลอง และเช่นกันว่าโครงการนี้ต้องอาศัยความรู้ทางด้านแรงโน้มถ่วง และการควบคุมมัน

การทดลองในโครงการกาลิเลโอ ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โรเบิร์ทได้เห็นรายงานและหลักฐานต่างๆ ที่พิสูจน์ถึงความถูกต้องของมัน ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าโครงการอื่นๆ ที่ทำใน S4 นั้นก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน แต่โรเบิร์ทก็ปฏิเสธที่จะถือเอากรรมสิทธิ์เหนือความสำเร็จนั้น เขากล่าวว่ารายงานการวิจัยที่เขาทำขึ้นเป็นเพียงแค่ตัวอักษรและรูปภาพบนแผ่นกระดาษเท่านั้น

ไม่ว่าการทดลองที่พื้นที่ 51 จะเป็นอะไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเป็นจำนวนมากได้พยายามสอดแนมเข้าไปใกล้ เพื่อบันทึกภาพซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้ดีว่ามีการทดลองเครื่องบินหรือวัตถุบินได้บางชนิดที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน

Nano Technology คืออะไร ?

Nano Technology เป็นความหมายที่เกิดขึ้นจากคำสองคำซึ่งนำมาผนวกกัน หากเราทำการวิเคราะห์ออกมาก็จะได้คำว่า "Nano" และคำว่า " Technology " คำแรก Nano หลายคนคงคุ้นเคยจากวิชาฟิสิกส์ อันหมายถึงคำอุปสรรคที่ใช้แทนค่าตัวเลข เศษหนึ่ง ส่วนหนึ่งพันล้าน ส่วนคำว่า Technology นั้นหมาย Seientific knowledge used in practical ways in industry และเมื่อนำมารวมกันแล้วจะได้ความหมายว่า ศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาระดับนาโน

ถ้าหากเรามีทองคำขนาดกว้าง ยาว สูง 1 เมตรทุกด้านแล้วตัดแบ่งออกเป็นก้อนเท่าๆ กัน 8 ก้อน ทองคำก้อนเล็กแต่ละก้อน ยังคง มีคุณสมบัติเช่นเดิม ยังคงมองเห็นเป็นทองเหลืองอร่ามเห็นประกายและมีน้ำหนักคงที่ตามสัดส่วนของขนาด มีความสามารถในการ นำไฟฟ้าและมีจุดหลอมละลายเช่นเดียวกับก้อนทองคำก่อนที่จะตัดแบ่งจากนั้นถ้าหากเราตัดแบ่งทองคำก้อนเล็กซอยย่อยลงไปอีกเรื่อยๆ จากขนาดความกว้าง ยาว สูงระดับเช็นติเมตรลงสู่ขนาดมิลลิเมตร และสู่ขนาดไมครอน ( 1 ในล้านของเมตร ) คุณสมบัติของทองก้อนจิ๋วยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คุณสมบัติตคงที่เช่นนี้เป็นเหมือนกันทั้งหมดไม่ว่าวัตถุจะเป็นเหล็ก ตะกั่ว ทองแดง พลาสติก หรือน้ำแข็งแต่ถ้าเราเดินหน้าต่อไปตัดแบ่งก้อนทองจนถึงระดับนาโน ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม เช่น สีของทอง จุดหลอมละลาย และคุณสมบัติอื่นๆ ทางเคมีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นขึ้นอยู่กับแบบแผนของปฎิกิริยาระหว่างอะตอมที่ประกอบกันขึ้นเป็นทองคำ เป็นปฏิกิริยาที่ ไม่อาจมองเห็นได้ในวัตถุขนาดใหญ่ ทองคำขนาดนาโนมีลักษณะและคุณสมบัติไม่เหมือนกับก้อนทองคำขนาดใหญ่การตัดแบ่งวัตถุ จนถึงระดับนาโนต้องใช้เครื่องมือชนิดพิเศษเป็นกระบวนการที่เรียกกันว่า การผลิตระดับนาโน ( Nanofabrication ) การตัดแบ่งวัตถุ ขนาดใหญ่ให้เล็กลงจนถึงระดับนาโนบางครั้งเรียกกันว่า การผลิตจากบนลงล่าง ( Top – Down nanofabrication ) ในทางตรงกันข้าม ถ้าเริ่มต้นจากการเรียงอะตอมแต่ละตัวประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างนาโนเรียกกันว่า การผลิตจากล่างขึ้นบน ( Bottom – up nanofabrication ) สำหรับโครงสร้างนาโนของทองที่ถูกตัดแบ่งเรียกว่า หมุดควอนตั้ม ( Quantum dots ) หรือหมุดนาโน ( Nanodots ) เพราะมันมีลักษณะอย่างหยาบๆ เป็นเหมือนจุด โดยมีขนาดเสันผ่าศูนย์กลางอยู่ในระดับนาโนอันที่จริงกระบวนการผลิตระดับนาโน ไม่ใช่ของใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตจุดนาโนของทองคำ ตัวอย่างได้แก่ แผ่นกระจกสีบานหน้าต่าง ของโบสถ์คริสต์ในยุคกลาง และยุควิกตอเรีย และภาชนะเครื่องเคลือบโบราณบางอย่าง ซึ่งผลิตโดยอาศัยหลักการที่ว่าคุณสมบัติของวัตถุในระดับนาโน แตกต่างไป จากคุณสมบัติของวัตถุในขนาดที่ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนุภาคนาโนของทอง สามารถแสดงสีส้ัมม่วง แดงหรือเขียวได้โดยขึ้นอยู่กับ ขนาดถึงแม้ผู้คนในยุคนั้นจะทราบวิธีการอาจนำเทคนิควิธีการไปใช้กับการผลิตในรูปแบบอื่นๆ แต่ในปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นปริศนา อีกต่อไป ในการทำความเข้าใจลักษณะอันแปลกประหลาดเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ด้านนาโน ต้องใช้หลักการหลายสาขารวมกันในการ อธิบายและศึกษา นักเคมีมุ่งเน้นศึกษาปฏิกิริยาในระดับโมเลกุลซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับขนาด นักฟิสิกส์ให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของ สสารการเปลี่ยนแปลงและเงื่อนไขในการควบคุม วิศวกรให้ความสนใจต่อการนำโครงสร้างนาโน ไปใช้ประโยชน์บรรดาผู้เขี่ยวขาญ ด้านเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกสัการแพทย์พยายามแสวงหาและใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ใหม่ ในลักษณะของการ ผสมผสานวิทยาการสาขาต่างๆ ซึ่งมีศักยภาพทั้งภาคอุตสาหกรรมการผลิต การแพทย์ สิ่งแวดล้อม จนถึงการเดินทางในห้วงอวกาศ

อิเล็กตรอน
อะตอมมีโครงสร้างประกอบด้วยนิวเคลียร์ซึ่งเป็นแกนกลางและมีประจุไฟฟ้าบวก รอบนอกของนิวเคลียสมีอิเล็กตรอน ซึ่งมีประจุ ไฟฟ้าลบวิ่งวนอยู่โดยรอบจำนวนตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป นิวเคลียสประกอบด้วยอนุภาคโปรตอนและนิวตรอน แต่นิวตรอน เป็นอนุภาค ที่เกิดจากการรวมตัวกันของโปรตีนและอิเล็กตรอน ดังนั้นองค์ประกอบพื้นฐูานของสสารทั้งปวง จึงได้แก่อนุภาค 2 ชนิด ได้แก่ โปรตอนและอิเล็กตรอนอย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาการทำให้เราพบอนุภาค พื้นฐานที่เป็นองค์ประกอบ แยกย่อยลงไปอีก เช่น ควาร์ก เฮดรอน และอนุภาคอื่นๆ ในตระกูลเดียวกัน แต่เรายังไม่มีความรู้จักคุ้นเคย อนุภาคเหล่านี้มากพอ ที่จะใช้ประโยชน์ ในนาโนเทคโนโลยี อิเล็กตรอนเพิ่งถูกค้นพบ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีมวลน้อยกว่าอะตอมที่มีขนาดเล็ก ที่สุดประมาณ 2,000 เท่า มีประจุไฟฟ้าลบส่วนโปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวก เมื่ออิเล็กตรอน 2 ตัวเข้าใกล้กันจะทำปฏิกิริยากันด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้า การทำงานของ แรงชนิดนี้สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการพื้นฐานที่เรียกกันว่า Coulomb's law ซึ่งระบุว่าแรงดึงดูดหรือแรงผลักระหว่างวัตถุที่มีประจุ สองอันจะเป็นสัดส่วนตามขนาดของประจุ และเป็นสัดส่วนผกผันกับกำลังสองของระยะทางระหว่างวัตถุทั้งสอง ดังนั้น อิเล็กตรอน สองตัวเมื่ออยู่ใกล้กันจึงเกิดแรงผลักให้ออกห่างจากกัน เนื่องจากมีประจุไฟฟ้าลบทั้งคู่ เหมือนกับแม่เหล็กที่หันขั้วเดียวกันเข้าหากัน แต่แรงผลักนั้นจะยิ่งมีกำลังน้อยลงถ้าระยะห่างระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น อิเล็กดรอนจะปลีกตัวออกห่างจากกันจนกระทั่งอยู่ในระยะห่าง ที่แรงผลักไม่สามารถทำปฎิกิริยาได้เมื่ออิเล็กตรอนไหลในฐานะเป็นกระแสไฟฟ้าจะทิ้งช่องว่างไว้เบื้องหลัง ช่องว่างเหล่านี้เรียกว่า   “โฮล (Holes)” โฮลไม่ได้เป็นอนุภาคแต่เป็นบริเวณที่ว่างที่อิเล็กตรอนไหลไปสู่ และบริเวณที่ว่างเบื้องหลังเมื่ออิเล็กตรอนไหลออก ไปแล้ว ดังนั้นจึงถือว่าโฮลสามารถเคลื่อนที่ได้เช่นกัน โดยมีประจุไฟฟ้าเป็นบวกนอกจากสร้างให้เกิดกระแสไฟฟัาแล้ว อิเล็กตรอน ยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับคุณสมบัติทางเคมีของอะตอมแต่ละตัว ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป

อะตอมและอิออน
เนื่องจากนิวเคลียสของอะตอมและอิเล็กตรอนมีประจุไฟฟ้าต่างกัน แรงแม่เหล็กไฟฟ้าจึงดึงดูดโครงสร้างเหล่านี้ของอะตอมไว้ด้วยกัน คล้ายกับแรงโน้มถ่วงดึงดูดดาวเคราะห์บริวารให้หมุนรอบดวงอาทิตย์ มวลเกือบทั้งหมดของอะตอมรวมตัวกันอยู่ในนิวเคลียสซึ่งเป็น ส่วนเล็กๆ ของอะตอม เช่น ในอะตอมไฮโดรเจน นิวเคลียสมีมวลถึง1,999 ใน 2,000 ส่วน และในอะตอมบางชนิดก็มีมวลในสัดส่วน ที่มากยิ่งกว่านี้อะตอมตามธรรมชาติมี 91 ชนิด โดยแต่ละชนิดมีขนาดประจุไฟฟ้าภายในนิวเคลียสแตกต่างกัน ประจุไฟฟ้าบวกใน นิวเคลียสจะมีจำนวนเท่ากับจำนวนโปรตอนที่อญ่ภายในนิวเคลียส ดังนั้นอะตอมที่เบาที่สุด (อะตอมของไฮโดรเจน) นิวเคลียสจึงมี ประจุไฟฟ้าเท่ากับ +1 ถัดไปเป็นอะตอมฮีเลียมที่นิวเคลียสมีประจุไฟฟ้า +2 และนิวเคลียสของอะตอมลิเทียมมีประจุไฟฟ้า +3 อะตอมตามธรรมชาติที่หนักที่สุดได้แก่ยูเรเนียม ซึ่งนิวเคลียสมีประจุไฟฟ้าเท่ากับ +92 สามารถดูรายละเอียดของอะตอมทั้งหมดได้ใน ตารางธาตุในอะตอมที่เป็นกลางทางไฟฟ้า (ไม่มีประจุไฟฟ้า) จำนวนของอิเล็กตรอนจะสมดุลกับประจุในนิวเคลียส (จำนวนของโปรตอน) ซึ่งหมายความว่า อะตอมจะมีอิเล็กตรอน 1 ตัว ต่อโปรตอนในนิวเคลียส1 ตัว ดังนั้นจึงหมายความว่า ไฮโดรเจนมีอิเล็กตรอน 1 ตัว ฮีเลียมมี2 ตัว ลิเทียมมี 3 ตัว และยูเรเนียมมีอิเล็กตรอน 92 ตัว เนื่องจากอิเล็กตรอนจะรวมตัวกันอยู่ โดยรอบนิวเคลียส โดยทั่วไปอะตอมที่มีจำนวนอิเล็กตรอนมากกว่าจะมีขนาดใหญ่กว่าอะตอมที่มีอิเล็กตรอนน้อย แต่ถ้าจำนวน อิเล็กตรอนไม่เท่าประจุในนิวเคลียสหรือจำนวนของโปรตอน อะตอมนั้นจะมีประจุไฟฟ้าหรือเรียกว่าอิออน (ion) ถ้ามีอิเล็กตรอนมากกว่า โปรตอน อะตอมจะมีประจุไฟฟ้าลบ เรียกว่า อิออนลบ (negative ion) ในทางกลับกันถ้าอิเล็กตรอนน้อยกว่าโปรตอน อะตอมจะมี ประจุไฟฟ้าบวก เรียกว่าอิออนบวก (positive ion) ในขนาดนิวเคลียสที่เท่ากัน อิออนบวกมีขนาดเล็กกว่าอะตอมที่เป็นกลาง เพราะมี อิเล็กตรอนน้อยกว่า ขณะที่อิออนลบจะมีขนาดใหญ่กว่าอะตอมชนิดเดียวกันที่เป็นกลาง เพราะมีอิเล็กตรอนมากกว่าอะตอมทุกชนิด มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 0.1 นาโนเมตร อะตอมฮีเลียมมีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาอะตอมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมีขนาด เกือบเท่า กับ 0.1 นาโนเมตร อะตอมยูเรเนียมมีขนาดใหญ่ที่สุดประมาณ 0.22 นาโนเมตร ถึงแม้อะตอมทุกชนิดจะมีขนาดเล็กกว่าระดับนาโน แต่ก็ถือว่าเป็นเขตแดนรอยต่อที่มีความสำคัญยิ่งอะตอมทั้ง 91 ชนิด เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของทุกสรรพสิ่งที่เรารู้จักเปรียบได้กับ ตัวต่อหลากสีสัน หลากหลายขนาดที่สามารถต่อประกอบกันเข้าเป็นบ้าน กำแพง เป็นพื้นถนน หรือเครื่องบิน ลักษณะเช่นนี้เริ่มต้นขั้น ตอนแรกโดยการรวมตัวกันเป็นโมเลกุล

โมเลกุล
เมื่ออะตอมรวมตัวกันเป็นโครงสร้างที่มั่นคงเรียกกันว่าโมเลกุลอะตอม 91 ชนิดมีรูปทรงหยาบๆ เป็นทรงกลม ความแตกต่างอยู่ที่ขนาด และความสามารถในการทำปฏิกิริยาหรือยึดติดกับอะตอมตัวอื่นๆ อะตอมเหล่า นี้สร้างขึ้นเป็นโมเลกุลจำนวนมากมายหลายแบบ ที่เรารู้จักมีหลายล้านแบบ และในแต่ละปีมีการค้นพบโมเลกุลชนิดใหม่ๆ อีกนับร้อยชนิด การยึดติดกันของอะตอมมีหลากหลายแบบ แต่ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ระหว่างอิเล็กตรอนของแต่ละอะตอมหรืออิออนอิออนบวกจะดึงดูดอิออนลบด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้าโดย เป็นไปตาม Coulomb's law การยึดติดกันและการแยกสลายของอะตอมเป็นปฏิกิริยาทางเคมีเนื่องจากอิเล็กตรอนทำหน้าที่ยึดอะตอม ให้ติดกัน ขณะที่การยึดติดและการแยกสลายของกลุ่มอะตอมเป็นปฏิกิริยาทางเคมีดังนั้นอิเล็กตรอนจึงมีส่วนสำคัญในการกำหนดคุณสมบัติ ทางเคมีของอะตอมและโมเลกุล ถ้าหากอิเล็กตรอนเปลี่ยนแปลงไป คุณสมบัติของอะตอมและโมเลกุลจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ตัวอย่างเช่น อะตอมของโซเดียมและคลอไรน์ ถ้าหากเราบริโภคเข้าไปในลักษณะที่แยกเป็นอะตอมแต่ละชนิดจะเป็นพิษต่อร่างกาย แต่เมื่อทั้งสองรวม ตัวกันเป็นโซเดียมคลอไรน์ (เกลือ) จะไม่เป็นพิษต่อร่างกายและมีรสชาติดีลักษณะการยึดติดกันของอะตอม หรือที่เรียกกันว่าพันธะทางเคมี (Bond) เป็นหัวใจสำคัญของนาโนเทคโนโลยี ทำให้อะตอมและอิออนรวมตัวกันสร้างเป็นโมเลกุลแบบต่างๆ นอกจากนี้โดยตัวของมันเอง ยังสามารถทาหน้าที่เป็นกลไกขนาดจิ๋ว เช่น บานพับ หรือแผ่นฝาหรือโครงสร้างสำหรับจักรกลในระดับนาโน สำหรับในระดับไมโค พันธะทางเคมีเป็นเพียงตัวสร้างวัตถุและปฏิกิริยาทางเคมี แต่ในระดับนาโน ที่ซึ่งโมเลกุลเองทำหน้าที่เป็นจักรกล ดังนั้นพันธะทางเคมีจึง เป็นกลไกส่วนหนึ่งของจักรกลด้วยโดยปกติแล้วกลุ่มโมเลกุลเดี่ยวขนาดเล็กจะปรากฏตัวในรูปของไอหรือหมอก แต่เมื่อรวมตัวกันแน่นเข้า โมเลกุลสามารถมีปฏิสัมพันธกับอะตอม อิออน หรือโมเลกุลตัวอื่นๆ โดยผ่านทางประจุไฟฟ้าและเป็นไปตาม Coulomb's law เช่นเดียวกับ ที่อะตอมมีปฏิสัมพันธ์กับอะตอม ด้วย กันเองดังนั้นถึงแม้ว่าโมเลกุลเดี่ยวของน้ำจะมีสถานะเป็นก๊าซที่ระดับอุณหภูมิปกติ แต่เมื่อโมเลกุลเหล่านี้รวมตัวกันหนาแน่นขึ้นสามารถแปรรูปเป็นหยดน้ำซึ่งเป็นของเหลวได้ และเมื่อของเหลวนี้มีอุณหฎมิเย็นลงต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ก็จะกลายเป็นน้ำแข็งซึ่งเป็นของแข็งไม่ว่าน้ำจะอยู่ในสถานะที่เป็นไอ ของเหลว หรือของแข็ง ล้วนประกอบด้วย โมเลกุลชนิดเดียวกัน แต่การเรียงตัวของโมเลกุลมีความแตกต่างโมเลกุลส่วนใหญ่มีคุณสมบัติเช่นนี้ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์โดยปกติ อยู่ในสถานะของก๊าซ เมื่อโมเลกุลจำนวนมากรวมตัวกันเข้าจะกลายเป็นน้ำแข็งแห้ง ดังนั้นโมเลกุลจึงสามารถรวมตัวกันเข้าเป็นของแข็งได้ แต่โมเลกุลที่กล่าวถึงเหล่านี้มีขนาดเล็ก ประกอบด้วยอะตอมไม่ถึง 100 ตัว นาโนเทคโนโลยีมุ่งความสนใจไปที่โมเลกุลที่มีนาดใหญ่กว่านี้ เช่น โมเลกุลของโลหะ


โลหะและวัตถุชนิดอื่นๆ
ตามปกติแล้วศาสตร์แห่งวัสดุ ( Materials science ) แบบดั้งเดิมมุ่งศึกษาวัตถุ 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ โลหะ โพลีเมอร์ และเซรามิกส์ วัตถุทั้ง 3 ประเภทนี้มีบทบาทในนาโนศาสตร์และนาโนเทคโนโลยีที่แตกต่าง กันอะตอมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ 91 ชนิด โดยส่วนใหญ่มักรวมตัวกันเองระหว่างอะตอมขนิดเดียวกัน กระบวนการเช่นนี้สามารถสร้างโครงสร้างแบบโมเลกุลขนาดมหึมา ประกอบด้วยอะตอมนับพันๆล้านตัว ส่วนใหญ่โครงสร้างเหล่านี้จะมีความแข็ง เป็นประกาย แต่สามารถดัดแปลงรูปทรงได้ โครงสร้างเหล่านี้เรียกว่าโลหะ ในโครงสร้างของโลหะ อิเล็กตรอนบางตัวมีอิสระสามารถหลุดออกจากอะตอมและไหลไปตามก้อนโลหะ อิเล็กตรอนที่ไหลไปนี้ทำให้โลหะเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าได้ดีโลหะโดยส่วนใหญ่มีลักษณะสะท้อนแสงเป็นมันวาว เพราะเมื่อแสงกระทบ โลหะ แสงจะกระจายตัวออกไปเนื่องจากกระทบกับอิเล็กตรอนอิสระที่กำลังเคลื่อนที่ วัตถุบางอย่างประกอบด้วยอะตอมชนิดเดียวกัน ทั้งหมด แต่ไม่ใช่โลหะ วัตถุเหล่านี้มักประกอบด้วยอะตอมขนาดเล็ก ตัวอย่างเช่น กราไฟต์ ถ่าน เพขร กำมะถันเหลือง ฟอสฟอรัสแดง และดำ วัตถุเหล่านี้บางครั้งเรียกว่าฉนวน ( Insulator ) ซึ่งไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า เพราะภายในโครงสร้างไม่มีอิเล็กตรอนอิสระที่ไหลเวียน และโดยทั่วไปมักไม่สะท้อนแสง ถึงแม้ว่าความสามารถในการสะท้อนแสงดูจะไม่สำคัญต่อนาโนเทคโนโลยีเท่าใดนัก แต่ความเป็นอิสระ ในการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในวัตถุมีความสำคัญพอสมควรเลยทีเดียวมาถึงโพลีเมอร์รูปแบบที่สามัญที่สุดของโพลีเมอร์ได้แก่พลาสติก บางครั้งเรียกกันว่า แม็กโครโมเลกุล ( macromolecules) เพื่อบ่งชี้ว่าเป็นโครงสร้างโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่มาก เมื่อเทียบกับขนาด มาตรฐานโดยทั่วไป ( แต่ก็ไม่ใหญ่พอที่มนุษย์จะมองเน็นได้ด้วยตาเปล่า ) โพลีเมอร์โดยส่วนใหญ่มีองค์ประกอบพื้นฐานเป็นคาร์บอน เพราะคาร์บอนมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการยึดติดกับอะตอมชนิดอื่นๆ โพลีเมอร์เป็นโมเลกุลเดี่ยวที่ก่อตัวจากการเรียงตัวแบบซ้ำๆ ของอะตอม ซึ่งเรียกแบบแผนโครงสร้างนี้ว่า โมโนเมอร์ ( monomer ) แต่โมเลกุลโพลีเมอร์หนึ่งตัวอาจประกอบด้วย ห่วงโซ่โมโนเมอร์หลายแบบโพลีเมอร์บางชนิดอาจมีโครงสร้างแบบไขว้ ( Crosslinked ) ซึ่งหมายความว่า ห่วงโซ่โมโนเมอร์ยึดติดกับ ห่วงโซ่ตัวอื่นด้วยพันธะทางเคมีระหว่างห่วงโซ่ โพลีเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบไขว้จำนวนมากไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติที่ไม่เป็นโลหะ แต่ยังมีความแข็งเพิ่มมากขึ้น เพราะมีโครงสร้างที่ยึดแน่นมากขึ้น นอกจากนี้โครงสร้างแบบห่วงโซ่ของโพลีเมอร์ยังอาจม้วนตัว พันกันเหมือนเสันสปาเก็ตตี้ ซึ่งทำให้โพลีเมอร์ทีคุณสมบัติอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างออกไปกลายเป็นวัสดุที่ยืดหยุ่นเป็นเหมือนยางเรียกว่า amorphous polymers ตัวอย่างได้แก่ถ้วย polystyrene ซึ่งมีความยืดหยุ่นและเป็นฉนวนไฟฟ้า ส่วนโพลีเมอร์ที่มีโครงสร้างยึดติดกัน แน่นได้แก่ polyvinyl chloride หรือ PVC ซึ่งใช้ในการทำท่อน้ำและอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้าน และด้วยคุณสมบัติที่เป็นฉนวน ไฟฟ้า เพราะอิเล็กตรอนไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระโพลีเมอร์ (พลาสติก) จึงถูกนำมาใช้เป็นเปลือกหุ้มสายไฟ นอกจากโพลีเมอร์ สังเคราะห์ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ ยังมีโพลีเมอร์หลากหลายชนิดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและมีบทบาทสำคัญมากในโลกชีวภาพ เช่น โมเลกุลดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลทางพันธุกรรมโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตจำพวกหนึ่ง เช่น แป้งและเซลลูโลส ซึ่งเราจะพิจารณาถึง บทบาทที่เกี่ยวข้องกับนาโนเทคโนโลยีในส่วนต่อไปโดยทั่วไปแล้วโพลีเมอร์จะไม่สามารถนำไฟฟ้า แต่มีความเป็นไปได้ที่เราจะสร้าง โพลีเมอร์สังเคราะห์ให้มีคุณสมบัตินำไฟฟ้าได้ ตรงจุดนี้มีดวามสำคัญยิ่ง เพราะโพลีเมอร์มีคุณสมบัติหลายอย่างที่เหนือกว่าโลหะ เช่น เบากว่า มีความยืดหยุ่นมากกว่า แต่ผลิตได้ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายน้อย ดังนั้นโพลีเมอร์สังเคราะห์ชนิดพิเศษนี้ จึงแป็นหนึ่งในเป้าหมาย สำคัญของนาโนเทคในโลยี เพราะสามารถเข้าแทนที่โลหะได้ในอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้เป็นอุปกรณ์หลักในกลไก ระดับ โมเลกุลวัสดุประภทสุดท้ายที่ศาสตร์แห่งวัสดุแบบดั้งเดิมให้ความสนใจได้แก่เซรามิกส์หรือกระเบื้องเซรามิกส์ มักจะประกอบไปด้วย ออกไซด์ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบ เซรามิกส์ประกอบไปด้วยอะตอมหลายชนิดที่แตกต่างกัน เคลย์ (ดินเหนียว/ดินขาว) ประกอบไปด้วยอะลูมินั่มออกไชด์เป็นส่วนใหญ่ ทรายประกอบด้วยซิลิคอนออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ อิฐทนไฟประกอบ ด้วยแมกนีเซียม ซิลิคอนออกไซด์ นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมออกไซด์ในกระเบื้องบางชนิด เซรามิกสัโดยทั่วไปไม่นป็นดัวนำไฟฟ้า เพราะอิเล็กตรอนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ (นอกจากบางชนิดเมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำมากๆ จะกลายเป็นตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด หรือซูเปอร์คอนดักเตอร์) เชรามิกส์มีความแข็งมาก แต่บางครั้งเปราะ เพิ่งเริ่มใช้เซรามิกในนาโนเทคโนโลยีได้ไม่นานนักแต่ก็แสดงให้เห็น ถึงศักยภาพที่สูงในหลายด้าน เช่น สามารถนำมาใช้สร้างกระดูกเทียมเราได้ทำความรู้จัก 3 สาขาหลักมาตรฐานของวัสดุศาสตร์ไปแล้ว แต่ท่านจะพบว่าเราไม่ได้เอ่ยถึงวัสดุอื่นๆ ที่คุ้นเคยกันดีและปรากฎอยู่ทั่วไป เช่น ไม้ ไฟเบอร์ ขนมปัง หรือไข่ วัสดุเหล่านี้มีโครงสร้าง ที่ไม่เป็นเนื้อเดียวสม่ำเสมอทั่วกันทั้งหมด มีองค์ประกอบหลายชนิดในเนื้อเดียวกัน และคุณสมบัติของวัสดุเหล่านี้เป็นทั้งคุณสมบัติของ องค์ประกอบแต่ละอย่างกับคุณสมบัติโดยรวมเมื่อองค์ประกอบมารวมกัน โครงสร้างเหล่านี้อาจมีประโยชน์ใช้งานได้ดีในงานวิศวกรรม แต่ส่วนใหญ่ไม่มีประโยชน์ในระดับนาโน

24 ข้อชวนคิดก่อนที่จะซื้อ iPhone มาใช้งานตามกระแส




ก็ขอออกตัวก่อนนะครับว่าไม่ได้เป็นคนที่มีความรู้อะไรมากมายนักนะครับ(ปลดล็อคยังไม่เป็นเลยครับ) แต่เป็นแค่คนที่เปลี่ยนโทรศัพท์บ่อยมากๆ ก็เลยพอที่จะมองข้อแตกต่าง ข้อดี-ข้อด้อยของโทรศัพท์ต่างๆออกได้บ้าง และก็แค่อยากให้เพื่อนๆอ่านก็เผื่อไว้สำหรับคนที่ยังไม่รู้หรือยังลังเลอยู่นะครับ จะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ไม่ได้ต้านกระแสหรืออะไรทั้งนั้นนะครับแค่บอกกล่าวตามที่เคยใช้มาน่ะครับ

ตอนนี้กระแส เจ้าหนู i แรงมากๆครับ ไปเดิน MBK ก็มีแต่คนซื้อหา เจ้าหนู i กัน ซึ่งก็มีขายกันเกลื่อนกลาด ถูกบ้างแพงบ้างแล้วแต่เราต่อรองเอา แต่ก็คงไม่ได้เยอะหรอกครับ ผมก็คนนึงครับที่ตกหลุมรักเจ้าหนู i สุดเลิศตัวนี้ หลังจากได้สัมผัสมัน ทั้งๆที่ตอนแรกๆที่เห็นในเว็บต่างๆก็เฉยๆนะครับ ยังนึกในใจว่าทำไมกระแสมันช่างแรงซะจริงๆทั้งๆที่มันก็ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมายนักหนา แถมจะใช้งานยังลำบากต้องเสี่ยงซื้อเครื่องนอกมาใช้กัน ซึ่งมันส่งผลถึงการรับประกันด้วย
ใครที่คิดจะซื้อมาใช้ลองดูจากข้อสรุปของผมก่อนก็ได้นะครับ(จากการใช้งานของผมเอง หากมีข้อไหนที่ผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะครับ)
สรุปข้อดีที่เด่นๆก่อนเลยนะครับ(ทั้งด้านวัสดุและการใช้งาน)



1.งานประกอบดีมากถึงมากที่สุดครับ โดยเฉพาะ หน้าจอที่เป็นกระจกแข็งๆไม่เหมือนทัชสกรีนทั่วๆไป(ใช้งานได้อย่างสบายใจครับ ทนทานดีในระดับนึง) เป็นระบบ multi touch (คงทราบกันอยู่แล้ว)
2.หน้าจอเนียนสวยงามมากๆครับ ละเอียดดีสีสวยมาก ดูวีดีโอ ดูภาพเจ่มแจ๋วจริงๆ
3.ตัวเครื่อง พกพา สะดวกสบาย เพราะบางดีครับ แต่ก็ใหญ่พอควร(ก็จอมันใหญ่นี่นา)
4.เรื่องแบตเตอรี่ก็พอไหวครับไม่ขี้เหร่จนเกินไป เวลาใช้งานจริงดีพอสมควร
5.การทำงานในส่วนของ CPU ก็ลื่นไหลดีมากๆ ไม่มีหน่วงให้รำคาญใจ แม้กระทั้งการเปิดรูปภาพเยอะๆ ก็ขึ้นรวดเร็วทันใจ(ไม่เหมือน PPC)
6.อินเตอร์เฟสสวยงามมาก ลูกเล่นในการใช้งานสวยงามดีมากครับ(การหมุนจอ,การซูมภาพ)
7.มีระบบตัดไฟหน้าจอ เวลาใช้งานคุยโทรศัพท์
8.มีระบบปรับแสงสว่างอัตโนมัติ ตามสภาวะแสงขณะนั้นๆ
9.ระบบฟังเพลงเยี่ยม ติตรงที่เวลาปรับ EQ ไม่สามารถปรับได้ที่หน้าจอของการเล่นเพลงเลย ต้องเข้าไปตั้งค่าใน Setting
10.การใช้งานด้านดูเว็บ ดีมากครับ สะดวกสบายและดูง่ายกว่า PPC หรือมือถือทั่วๆไป (แต่มีข้อเสียข้อใหญ่อยู่นะครับ ดูกันต่อไป)
12.การใช้งานด้านโทรศัพท์ดีมากครับ สัญญาณ,เสียง,การคุยชัดเจนดีมาก
13.การใช้งานด้าน E-mail ง่ายดีครับ และก็เร็วดีซะด้วย
14.มี wifi และ edge


สำหรับข้อดีที่เด่นๆก็ขอพอแค่นี้ก่อนนะครับ เพราะข้ออื่นๆก็ไม่ได้ต่างจากมือถือในยุคนี้สักเท่าไหร่
ทีนี้มาดูข้อเสียที่เด่นๆกันบ้างนะครับ(บางข้อไม่เชิงเป็นข้อเสียนะครับ แต่ขอให้เป็นข้อสังเกตละกันนะครับ)


1.ใช้กับเครือข่าย GSM บ้านเรา ได้แค่ในกรณีที่เครือข่ายไม่มีการโรมมิ่ง(บางครั้งการที่เรานำมือถือใช้ข้ามจังหวัดหรือบางที่จะต้องมีการโรมมิ่งของเครือข่าย) แต่กับ dtac และ true สบายบรื๋อครับ
2.ใช้งาน mms ไม่ได้,รับ SMS จากระบบไม่ได้(อันนี้หลายๆคนบ่นถึงนะครับ แต่จากการที่ใช้เองก็ ใน1อาทิตย์ไม่มีข้อความจากระบบใดๆเข้ามาเลยครับ)
3.บลูทูธ รับส่งข้อมูลกะใครเขาไม่ได้ (กะจะไม่คบกับใครๆเลยหรือไงเนี่ย) และใช้งาน หูฟังบลูทูธไม่ได้ทุกตัวนะครับ
4.เสียงจากลำโพงเข้าขั้นครับ (ขั้น---นะครับ) ไม่ดังเท่าที่ควร สั่นก็ไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ด้วย
5.แจ็คเสียบหูฟังเป็นแบบ 3.5 ก็จริงนะครับ แต่มันอยู่ลึกลงไป ทำให้ไม่สามารถใส่แจ็คที่มีขั้วใหญ่หน่อยไม่ได้ อยากได้ต้องปาดเอาน่ะครับ( เสียดายของอ่ะ)
6.การหมุนจอต้องอยู่ในลักษณะที่เครื่องอยู่ในท่าตั้งเท่านั้นแล้วจึงหมุนได้ แต่ถ้านอนเครื่องลงแล้วหมุนจอจะไม่หมุนนะครับ อันนี้ไม่เชิงเป็นข้อเสียนะครับ แต่ให้เป็นข้อสังเกตแล้วกัน
7.การใช้งานเว็บ ชอบกระเด้งกลับมาที่หน้าจอ Home (เป็นประจำ) เวลาเข้าเว็บที่มีลูกเล่นมากหน่อยหรือโหลดเยอะๆ (แต่หลายๆเสียงบอกว่าถ้าผ่าน wifi จะเป็นน้อยลงครับ)
8.กล้องถ่ายภาพออกมา ผลที่ได้พอใช้ครับ แต่ไม่มีการปรับตั้งค่าอะไรได้เลย ซึ่งเทียบกับ PPC หรือมือถือสมัยนี้ไม่ได้เลยครับ
9.ถ่ายวีดีโอไม่ได้
10.ใช้ MP3 เป็นเสียงเรียกเข้าไม่ได้(ผมหมายถึงแบบการโยนใส่ลงไปเหมือนมือถือธรรมดานะครับ) แต่ก็มีโปรแกรมที่สามารถทำให้ใช้ได้ ไม่ยากครับ
11.โปรแกรมที่ให้ลงมีน้อย(คงต้องเข้าใจว่านี่มันเป็นตัวแรกๆนะครับ ก็คงต้องรอดูกันต่อๆไป)
12.อุปกรณ์เสริมเข้าขั้นแพงถึงแพงมากครับ และหาซื้อทั่วๆไปไม่ค่อยจะมี อันนี้ไม่เชิงเป็นข้อเสียนะครับ แต่ให้เป็นข้อสังเกตแล้วกัน
13.มีปัญหาขนาดหนักเวลานำ เจ้าหนู i ไปเสียบกับชุดต่อเครื่องเสียง(เห็นว่าหลายๆคนเป็นกันนะครับ บางรายหนักขนาดเปิดไม่ติดเจ๊งไปเลย อันนี้ไม่ยืนยันนะครับ แต่เคยอ่านเจอมา ส่วนตัวไม่เคยเอาเสียบต่อกับอะไรครับเลยไม่แน่ใจว่า ข้อนี้จะเป็นแน่นอนหรือไม่)
14.แบตเตอรี่อยู่ภายในถอดออกมาเปลี่ยนเองไม่ได้(สำหรับผู้ใช้ทั่วๆไป)นะครับ เวลาแบตเสื่อมก็ต้องส่งร้านหรือศูนย์อย่างเดียวครับ (แต่ข้อนี้คงไม่ค่อยจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ อย่างผมก็ไม่เคยใช้นานจนแบตเสื่อมซักกะที)
15.การใช้งานพวก สไลด์ปลดล็อค หรือ สไลด์เพื่อรับสาย ก็ ตอนแรกๆก็แปลกๆสนุกดีครับ แต่พอบ่อยๆชักเบื่อ เพราะยังไงมันก็ไม่สะดวกเท่ากดรับสายเอานะครับ
16.การใช้งานคีย์บอร์ด ถ้าคนนิ้วใหญ่หน่อยก็อาจจะขลุกขลักบ้างนะครับ แต่ก็ยังดีที่มีพรีวิวให้ แต่ก็พิมพ์ผิดบ่อยๆครับ
17.การแก้ไขข้อความไม่สามารถลากดำลบทีทั้งแถวไม่ได้ครับ ต้องลบทีละตัวๆ(แต่ก็ไม่ช้าหรอกครับ)
18.รายการโทร(in call,out going,miss)ไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ครับ บางทีออกจะดูยากด้วยซ้ำ
19.รายการ sms ไม่สามารถลบทีละข้อความได้ (เครื่องจะรวมsmsของเบอร์ๆนั้นอยู่ในโฟลเดอร์เดียวกัน) ถ้าจะลบก็จะไปหมดทั้งโฟลเดอร์ครับ
20.ไฟล์เพลง,ภาพ,เสียง,หรืออะไรต่างๆ ไม่สามารถลบได้โดยตรงจากเครื่องครับ เช่นจะลบเพลงไหนก็ต้องไปซิงค์กับ itune เอาน่ะครับ
21.ไม่สามารถ ถ่ายโอนรายชื่อจากซิมได้ ซึ่งผมถือว่าข้อนี้เป็นข้อเสียที่ใหญ่มากๆเลยครับ(บางท่านอาจบอกว่าก็ซิงค์ ผ่าน out look เอาก็ได้ แต่กับคนที่เขาไม่เคยใช้งานพวก out look หรือ ซิงค์อะไรทำนองนี้ล่ะครับ เขาจะต้องมานั่งพิมพ์ใหม่ทีละชื่อหรือครับ) ซึ่งผมว่าความสามารถอันนี้โทรศัพท์ถูกๆเครื่องละพันยังทำได้ดีกว่าเลยครับ
22.การนำ เพลง,หนัง,ภาพต่างๆเข้าในเครื่อง ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ครับ(จะว่าไปแล้วถ้าใช้กับคอมตัวเองที่มี itune อยู่ก็ออกจะง่ายซะด้วยซ้ำนะครับ)แต่ถ้าเราจะเอาเพลงจากเครื่องคอมของเพื่อนที่ไม่มี itune ล่ะ(ก็เอา itune ไปลงสิครับ ถามเองตอบเองครับ ) ยุ่งกว่าโทรศัพท์ธรรมดาทั่วไปไหมครับ
23.เครื่องที่เราๆท่านๆกำลังจะซื้อนั้นมันถือว่าซื้อมาใช้อย่างไม่ถูกต้องซักเท่าไหร่นะครับ อีกอย่างมันเป็นเครื่องนอกเอามาปลดเองครับ เพราะฉะนั้นจงทำใจยอมรับในกรณีที่มันมีปัญหาไว้ก่อนนะครับ ว่าจะต้องยุ่งยากหรือแก้ไขซ่อมแซมไม่ได้เลย ด้วยนะครับ
24.ตัวเครื่องมีค่าตัวที่แพงเกินไปครับ เปรียบเทียบกับความสามารถแล้ว PPC บางตัวที่ราคาไล่เลี่ยกันทำอะไรได้มากกว่าเยอะครับ อย่างผมขาย PPC ไปแล้วก็ซื้อ iphone มาใช้ ก็อยู่ได้ไม่กี่วันครับ ยังไงก็มันส์ไม่เท่าใช้ PPC หรอกครับ เราอาจจะชอบตรง จอสวย,ลูกเล่นหมุนจอ,ซูมภาพ,เครื่องสวย แต่นั่นเป็นแค่ความสามารถฉาบฉวยครับ หมุนๆไม่กี่วันก็เบื่อแล้วครับ ถ้าเทียบความคุ้มค่า ลองดูนะครับ 20,000-25,000 บาท ซื้อ PPC มี GPS(garmin,speed navi,powermap) ,cpu แรงๆ, ลงโปรแกรมได้มากมาย,ปรับแต่งได้มันส์มือ มีตัวเลือมากมายเลยครับ อย่างผมหันมาคบกับ D810(ไม่ได้เป็นหน้าม้านะครับ) รู้สึกคุ้มค่าและแก้เบื่อได้มากกว่าเยอะเลยครับ
แต่อีกด้านนะครับ ขอบอกว่าเจ้าหนู i เนี่ยมันก็เจ๋งจริงๆนะครับ ผมก็ชอบมากๆ แต่จะขอนำมาใช้อีกครั้งถ้าราคามันสมควรกว่านี้อ่ะนะครับ (เป็นความเห็นของตัวเองนะครับ แต่เรื่องราคานี่มันอยู่กับความพอใจส่วนตัวนะครับ เพราะที่เรากำลังซื้อหากันอยู่นี่มันไม่ใช่แค่โทรศัพท์ครับ แต่มันเป็นความสุข,ความพอใจของเราครับ)




ดังนั้นขอสรุปว่า ถ้าเพื่อนๆเป็นคนที่แค่ต้องการใช้งานทั่วๆไปดูหนัง,ฟังเพลง,ดูรูป,เน้นดีไซน์และรับกับข้อเสียที่ผมได้บอกไปแล้วได้ ผมตอบว่าเครื่องนี้เหมาะครับ(แต่ก็ขึ้นอยู่กับทรัพย์ในกระเป๋าของเพื่อนๆนะครับ ถ้าจะต้องลำบากไปกู้หนี้ยืมสินเขาก็อย่าเลยนะครับ)
แต่ถ้าเพื่อนๆคนไหน ซึ่งคิดถึงเรื่องความคุ้มค่าและกำลังลังเล ที่จะขายโทรศัพท์ที่ตัวเองใช้อยู่เพื่อมาซบ เจ้าหนู i ก็คิดชั่งน้ำหนักข้อดี-เสีย นะครับ ตอนนี้กระแสอาจแรงครับ (ราคาก็จะแพงตามครับ) แต่ก็ต้องดูกันไปครับ ยิ่งจะซื้อตอนนี้ยิ่งน่าห่วงครับ เกี่ยวกับเครื่องล็อตใหม่ ที่ยัง unlock ไม่ได้นะครับ (หลายคนซื้อมาใช้งานโทรไม่ได้ครับและอีกหลายๆคนซื้อมาแล้วได้เป็นแค่ที่ทับกระดาษราคา 2 หมื่นครับ ) แต่ผมก็มั่นใจนะครับว่าเขาปลดกันได้แน่ แต่ว่าเมื่อไหร่เท่านั้นเองครับ

Wireless กับ Wi-Fi คืออะไร

บางท่านอาจเรียก Wi-Fi ( อ่านว่า วาย-ฟาย ) แต่เพื่อนเรียก Wireless ( อ่านว่า วาย-เลส ) บางท่านเรียก Wireless โดนเพื่อนด่าว่าโง่ ต้องเรียก Wi-Fi เอ๊ะ แล้วมันคืออะไร ที่นี่จะอธิบายแบบง่าย ๆ ให้ฟังครับ


Wi-Fi หรือ Wireless หมายถึง เครือข่ายไร้สาย มักใช้กับระบบเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นในองค์กรหรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ระบบเครือข่ายไร้สาย ( Wireless LAN : WLAN ) หมายถึงเทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้ รวมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันจะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น
ระบบเครือข่ายไร้สายใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่านอากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทยุ (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้

การสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สายมีมาตราฐาน IEEE802.11 เป็นมาตราฐานกำหนดรูปแบบการสื่อสาร ซึ่งมาตราฐานแต่ละตัวจะบอกถึงความเร็วและคลื่นความถี่สัญญาณที่แตกต่างกันในการสื่อสารข้อมูล เช่น 802.11b และ 802.11g ที่ความเร็ว 11 Mbps และ 54 Mbps ตามลำดับ และขอบเขตของสัญญาณคลอบคลุมพื้นที่ประมาณ 100 เมตรในพื้นที่โล่งและประมาณ 30 เมตรในอาคาร ซึ่งระยะทางของสัญญาณมีผลกระทบจากสิ่งรอบข้างหลายๆ อย่าง เช่น โทรศัพท์มือถือ ความหนาของกำแพง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ รวมถึงร่างกายมนุษย์ด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการใช้งานเครือข่ายไร้สายทั้งสิ้น
การเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายมี 2 รูปแบบ คือแบบ Ad-Hoc และ Infrastructure การใช้งานเครือข่ายไร้สายของผู้ใช้บริการทั่วไปจะเป็นแบบ Infrastructure คือมีอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point) ของผู้ให้บริการเป็นผู้ติดตั้งและกระจายสัญญาณ ให้ผู้ใช้ทำการเชื่อมต่อ โดยผู้ใช้บริการจะต้องมีอุปกรณ์รับส่งสัญญาณเรียกว่า "การ์ดแลนไร้สาย" หรือชนิดใหม่จะทำมาเป็นชนิด USB เรียกว่า Wireless USB ( รูปร่างเหมือน ThumDrive ) เป็นอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ไป Access Point ของผู้ให้บริการ

สรุปก็คือ การเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบเครือข่าย เหมือนกับระบบแลน ( LAN ) ที่ใช้สายปกติ แตกต่างที่อุปกรณ์ทางกายภาพในการเชื่อมต่อเครือข่ายไม่ต้องใช้สายสัญญาณแต่อย่างใด โดยการใช้งานเครือข่ายไร้สายสามารถใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เหมือนเครือข่ายมีสายได้ปกติ เว้นแต่ว่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้นๆ จะปิดบริการบางบริการเพื่อความปลอดภัยของเครือข่ายได้เช่นกัน ซึ่งการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น ประหยัดค่าสายสัญญาณและใช้งานได้ทุกที่ ที่มีสัญญาณเครือข่ายไร้สายไปถึง


Wi-Fi คืออะไร
Wi-Fi ( ย่อมาจาก wireless fidelity ) ก็คือองค์กรหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ทดสอบผลิตภัณฑ์ Wireless Lan หรือระบบ Network แบบไร้สายภายใต้เทคโนโลยีการสื่อสาร ภายใต้มาตราฐาน IEEE 802.11 ว่าอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อกันนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่มีปัญหา หากว่าอุปกรณ์ตัวนั้นผ่านตามมาตราฐานเขาก็จะปั๊ม ตรา Wi-Fi certified ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นสามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่มีตรา Wi-Fi certified นี้ได้เช่นกัน แต่ทำไปทำมามันกลายเป็นคำศัพท์สำหรับอุปกรณ์ Lan ไร้สายไปโดยปริยาย จนบางคนก็เรียกกันจนติดปาก


Wireless คืออะไร
Wireless คือลักษณะของการใช้งานอุปกรณ์ด้านสื่อสารโทรคมนาคม แปลตรงตัวว่าไร้สาย ฉะนั้นอุปกรณ์อะไรก็ตามที่ติดต่อสื่อสารกันโดยไม่ใช้สายสัญญาณถือว่่าอุปกรณ์นั้นเป็น Wireless เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะเรียกอะไรก็เหมือนๆ กันครับไม่ผิด Wireless ก็ถูกครับ Wi-Fi ก็ถูกครับ


ลักษณะการเชื่อมต่อของอุปกรณ์
Wi-Fi ได้กำหนดลักษณะการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ภายในเครือข่าย WLAN ไว้ 2 ลักษณะคือโหมด Infrastructure และโหมด Ad-Hoc หรือ Peer-to-Peer

โหมด Infrastructure
โดยทั่วไปแล้วอุปกรณ์ในเครือข่าย Wi-Fi จะเชื่อมต่อกันในลักษณะของโหมด Infrastructure ซึ่งเป็นโหมดที่อนุญาตให้อุปกรณ์ภายใน WLAN สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ ในโหมด Infrastructure นี้จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ 2 ประเภทได้แก่ สถานีผู้ใช้ ( Client Station ) ซึ่งก็คืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ( Desktop, Laptop, หรือ PDA ต่างๆ ) ที่มีอุปกรณ์ Client Adapter เพื่อใช้รับส่งข้อมูลผ่าน Wi-Fi และสถานีแม่ข่าย ( Access Point ) ซึ่งทำหน้าที่ต่อเชื่อมสถานีผู้ใช้เข้ากับเครือข่ายอื่น ( ซึ่งโดยปกติจะเป็นเครือข่าย IEEE 802.3 Ethernet LAN ) การทำงานในโหมด Infrastructure มีพื้นฐานมาจากระบบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ กล่าวคือสถานีผู้ใช้จะสามารถรับส่งข้อมูลโดยตรงกับสถานีแม่ข่ายที่ให้บริการ แก่สถานีผู้ใช้นั้นอยู่เท่านั้น ส่วนสถานีแม่ข่ายจะทำหน้าที่ส่งต่อ ( forward ) ข้อมูลที่ได้รับจากสถานีผู้ใช้ไปยังจุดหมายปลายทางหรือส่งต่อข้อมูลที่ได้ รับจากเครือข่ายอื่นมายังสถานีผู้ใช้

โหมด Ad-Hoc หรือ Peer-to-Peer
เครือข่าย Wi-Fi ในโหมด Ad-Hoc หรือ Peer-to-Peer เป็นเครือข่ายที่ปิดคือไม่มีสถานีแม่ข่ายและไม่มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่น บริเวณของเครือข่าย Wi-Fi ในโหมด Ad-Hoc จะถูกเรียกว่า Independent Basic Service Set ( IBSS ) ซึ่งสถานีผู้ใช้หนึ่งสามารถติดต่อสื่อสารข้อมูลกับสถานีผู้ใช้อื่นๆในเขต IBSS เดียวกันได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านสถานีแม่ข่าย แต่สถานีผู้ใช้จะไม่สามารถรับส่งข้อมูลกับเครือข่ายอื่นๆได้

[Review] Oker 2.4Ghz RF Wireless Mouse (MS-1480R) for Notebook or Gamer

Oker-MS-1480R-Header

ช่วงนี้ก็เข้าสู่เทศกาลการสอบกลางภาค น้องๆหลายคนก็คงกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือกันใหญ่ ทาง Notebook4Game เองก็เช่นเดียวกันช่วงนี้จะเห็นได้ว่าเว็บล่มบ่อยเหลือเกิน ( Writter & Moderator ก็เซ็งตามๆกันไป ) เนื่องด้วยทางเว็บกำลังขยับขยายและเตรียมจะเปลี่ยน Server เพื่อรองรับสมาชิกที่มีเพิ่มมากขึ้น นอกเรื่องไปเยอะแล้วกลับมาเข้าเรื่องกันต่อ Oker แบรนด์นี้ใครๆก็รู้จักเพราะสินค้าของแบรนด์นี้มีมากมายหลายอย่าง หลักๆแล้วก็จะเป็น Accessory ต่างๆที่มีให้เลือกซื้อกันมากมายหลายชนิดรวมทั้งราคาของมันที่เรียกได้ว่าถูกมากๆ เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ แต่ปัญหาหนึ่งของแบรนด์นี้คือคุณภาพในการผลิตและวัสดุ เราจะมาดูกันครับว่าเมาส์ตัวนี้จะเจ๋งสมราคาหรือไม่
Oker-MS-1480R
ภายใน Package นั้นประกอบไปด้วยเมาส์และ Receiver และถ่าน AAA จำนวน 2 ก้อน



เมาส์ Wireless จาก Oker ตัวนี้รองรับ DPI สูงสุดมากถึง 2000 DPI นอกจากนั้นยังมีปุ่มใช้งานที่เพิ่มเข้ามาถึง 2 ปุ่ม

Oker-MS-1480R (2)
MS-1480R มาในโทนสีดำ Body หุ้มยางเกือบทั้งหมดมาพร้อมกับ Receiver ขนาดเล็กจ้อย
Oker-MS-1480R (3)
ขนาดของ Receiver เมื่อเทียบกับถ่านขนาด AAA
Oker-MS-1480R (5)
เมาส์ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้ได้ด้วยมือทั้งสองข้าง ปุ่มที่เพิ่มขึ้นมานั้นอยู่ในตำแหน่งสำหรับมือขวาอาจทำให้คนที่ถนัดมือซ้ายนั้นไม่ถนัดในการใช้งานอยู่บ้าง
Oker-MS-1480R (6)
Body บางส่วนเป็นพลาสติกเป็นแบบมันเงาช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับเมาส์เป็นอย่างดี ด้านขวาจะเองจะมีปุ่มเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ปุ่มเป็นปุ่ม Back / Foward
Oker-MS-1480R (8)
บริเวณด้านข้างทั้งสองด้านออกแบบมาให้เว้าเข้าไปเล็กน้อย ช่วยเพิ่มความถนัดในการใช้งานมากขึ้น
Oker-MS-1480R (7)
ด้านล่างเป็นพลาสติกเป็นแบบธรรมดาซึ่งจะต่างจากช่วงบนที่หุ้มยางเพื่อป้องกันมือลื่น ด้านหลังมีโลโก้ของ Oker บ่งบอกไว้อย่างชัดเจน
Oker-MS-1480R (9)
Oker-MS-1480R (10)
Scroll Wheel เป็นพลาสติกเคลือบสีเงินมียางบริเวณส่วนกลางทำให้ช่วยเพิ่มสัมผัสในการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น ถัดมาเป็นปุ่มปรับ DPI ที่เลือกได้ 2 แบบ คือ 1000,2000 DPI

Oker-MS-1480R (11)
Design นั้นถือว่าทำออกมาได้ดีครับสวยงามน่าใช้งาน สำหรับขนาดของมันนั้นยาวประมาณ 9 กว้าง 6 สูง 4 ซม.
Oker-MS-1480R (12)
มาดูใต้เมาส์กันบ้างครับ มี Feet ทั้งหมด 4 จุด , รังถ่าน AAA ที่ต้องการถ่านจำนวน 2 ก้อน , Sensor แบบ Optical ตำแหน่งของ Sensor จะเห็นได้ว่าเยื้องออกไปทางขวาครับ , Switch On-Off , Sticker บ่งบอกรุ่นและยี่ห้อ , ช่องสำหรับเก็บ Receiver
Oker-MS-1480R (13)
สำหรับช่องเก็บ Receiver นั้นมีแม่เหล็กขนาดเล็กฝังในอยู่ทำให้ไม่ต้องห่วงว่า Receiver ขนาดจิ๋วของเราจะหล่นหายแน่นอน
Oker-MS-1480R (14)
ปุ่ม Switch ที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานเมื่อไม่ต้องการใช้งาน , Feet ขนาดใหญ่ถึง 4 จุดช่วยให้การใช้งานเป็นไปอย่างลื่นไหล
conclusion
Oker-MS-1480R (4)
เนื่องจากตัวเมาส์จาก Oker นั้นไม่มี Software ใดๆมาให้ ผมจึงทดสอบลองใช้ Software  จากเมาส์ Wintech Z2 ช่วยแทน ผลปรากฏออกมาว่าสามารถใช้งานได้ครับ สามารถ Macro ได้แน่นอน จุดเด่นหลักๆของเมาส์ตัวนี้คือราคาครับ อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าของจากแบรนด์ Oker นั้นมีราคาถูกแน่นอน นอกจากนั้นยังเป็นเมาส์ Wireless ที่มี Receiver ขนาดเล็กจิ๋ว ( เทียบเท่ากับ Nano Receiver ของ Logitech เลยทีเดียว ) , DPI ที่สามารถปรับได้ 1000 และ 2000 , ปุ่มพิเศษเพิ่มเติมอีก 2 ปุ่ม ทำให้หลายๆคนอาจสนใจหามาใช้อย่างไม่ยากเย็น แต่อย่างว่าครับของถูกบางครั้งก็ไม่ได้ดีเสมอไปเท่าที่ลองใช้ดูและสัมผัสพบว่างานประกอบยังไม่ดีเท่าไหร่ครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ Notebook และ Gamer ทั้งหลาย
Oker-MS-1480R-Score

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

[Review] iPod Touch 4 - เติมเต็มทุกความบันเทิง ผ่านไอพอตรุ่นใหม่ล่าสุด

คงไม่มีใครไม่รู้จักไอพอต (iPod) เครื่องเล่นเพลง-มัลติมีเดียยอดนิยมจากแอปเปิ้ล เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใครๆ ก็หาซื้อมาใช้งานได้ไม่ยากเย็นนัก เพราะราคาไม่แพงเหมือน "iPhone" และล่าสุดได้มีการเปิดตัวตระกูลไอพอต 2010 ในไทย (16 กันยายน) แน่นอนว่าทุกรุ่นวางขายอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วครับ ตาม iStudio และตัวแทนจำหน่ายทั่วไป
  วันนี้ทาง i3 ไม่พลาดที่จะนำ 1 ในไอพอตรุ่นใหม่มารีวิวให้ชมกัน นั่นก็คือ "iPod Touch 4" จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เรามาดูกันเลยครับ :D
มีอะไรใหม่ใน "iPod Touch 4"


- ปรับปรุงดีไซน์ใหม่ จะเห็นว่าด้านหลังจะโค้งเรียวสวยงาม แต่ต่างจาก Gen 3 พอสมควร แน่นอนว่า มันสวยขึ้นเยอะ !!
- หน้าจอความละเอียด 960x640 พิคเซล หรือที่เราเรียกกันว่า Retina Display แต่ชนิดจอไม่ใช่ IPS แบบไอโฟน
- ลำโพงด้านนอกเครื่อง อยู่ติดกับพอร์ท USB
- กล้องหลังความละเอียด 960x720 พิคเซล, บันทึกวิดิโอความละเอียด HD720p (960x720 พิคเซล)
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 640x480 พิคเซล, รองรับการใช้งาน FaceTime
- รองรับ WiFi n (2.4GHz)
- เซ็นเซอร์จับการเคลื่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่อนไหว 3 แกน (3-axis Gyroscope)
- ซีพียู Apple A4 (แต่ไม่ทราบความเร็วที่แน่นอน)
- แบตเตอรี่อึดขึ้น (930 mAh) เล่นเพลงได้นานสูงสุด 40 ชั่วโมง
- มาพร้อมกับ iOS 4.1 ในตัว
- Game Center รองรับการเล่นเกมแบบมัลติเพลย์เยอร์ 
 
 
 
แพคเกจ


  ดูเหมือนว่ากล่องไอพอตทัชรอบนี้จะทำสวยขึ้นมาหน่อย ภายในไม่มีอะไรมากครับ มีเพียงตัวเครื่อง, สาย USB, หูฟัง, คู่มือการใช้งาน และสติ๊กเกอร์ Apple เท่านั้น 
 
 
 
 
ดีไซน์-วัสดุ 


  น่าจะทราบกันดีว่า "iPod Touch" มีจุดเด่นในด้านความบางเพียง 7.2 มิลลิเมตรเท่านั้น ดีไซน์ด้านหน้าคล้ายรุ่นเดิม แต่ด้านหลังเปลี่ยนใหม่ คราวนี้เรียบ โค้งเว้าได้สัดส่วนสวยงามกว่าเดิม วัสดุยังคงเป็นอลูมิเนียมเหมือนรุ่นก่อน พื้นผิวชวนให้เป็นรอยขนแมวที่สุด โดยรวมแล้วแข็งแรงดีไม่น้อยเลยล่ะครับ ส่วนการจัดเรียงพอร์ทต่างๆ ยังคงเหมือนกับในรุ่นก่อนทุกประการ 
 
Game Center


  เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน iOS 4.1 โดยจะทำให้คุณสามารถเล่นเกมแบบ Multiplayer กับคนอื่นๆ ได้ แม้ว่าตอนนี้จะมีเกมรองรับค่อนข้างจำกัด แต่ก็น่าจะชื่นชอบกันสำหรับผู้ใช้ที่ชอบท้าเพื่อนแข่งเกมครับ :) 
 
FaceTime


  เนื่องจากไม่มีหน่วยกล้าตายให้เทส FaceTime จึงต้องขอข้ามการใช้งานจริงไปก่อน แต่ใน iPod Touch รุ่นนี้สามารถคุยเห็นหน้าได้กับ iPhone 4 ได้สบายๆ คราวนี้ไม่ต้องรอ 3G ก็ได้ ใช้เฟชไทมส์ซะ !
 
 
Retina Display


  อย่างที่บอกไว้ตอนแรกคือ ไอพอตรุ่นนี้อัพเกรตจอขึ้นมาถึงความละเอียดขั้น "Retina Display" หรือ 960x640 พิคเซล ทำให้ภาพละเอียดเนียนยิ่งขึ้น แต่ว่ามุมมอง สีสันจะดีไม่เท่า iPhone 4 เพราะไม่ได้ใช้จอ IPS นั่นเอง ส่วนการใช้งานมัลติทัช ยังลื่นปรื้ดๆ เหมือนเดิม ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน 

กล้อง


  เป็นอีกสิ่งที่ทำให้หลายๆ คน เลือกที่จะครอบครองไอทัชรุ่นใหม่ เพราะมันมีกล้อง !! ทั้งด้านหน้า-หลัง ถ่ายภาพนิ่ง-บันทึกวิดิโอได้ แค่ความละเอียดต่างกัน โดยกล้องหลังทำได้ 960x720 พิคเซล และกล้องหน้า 640x480 พิคเซล สลับไปมาได้เลยในเมนูกล้องครับ สะดวกเอามากๆ 
 
เบราเซอร์


  เบราเซอร์หลักก็คงไม่พ้น Safari เจ้าเก่า ความเร็วในการทำงานยังคงแจ่มเหมือนเดิม โหลดหน้าเว็บได้เร็ว รองรับระบบมัลติทัชเพื่อซูมหน้าเว็บได้ปกติ อย่างไรก็ดี ยังมีบัคอยู่นิดหน่อย เช่น เข้าหน้าบอร์ด Pantip หมุนจอแล้วค้าง ต้องออกเบราเซอร์เข้าใหม่ ตรงนี้ต้องรอ FW ใหม่มาแก้ครับ
Maps
  ถึงไอพอตทัชจะเปิด "Google Maps" ใช้ได้ แต่ไม่มี GPS ในตัวนะ ระบบจะบอกสถานที่คร่าวๆ ได้จากสัญญาณ WiFi เท่านั้น
เกม


  เรื่องเกมคิดว่าในไอพอตสามารถทำได้ดีมากครับ เพราะมีสาระพัดเกมรองรับบน App Store แถมตัวเครื่องยังมีชิปกราฟฟิคแรงๆ อยู่ด้วย หมดห่วงเลยในเรื่องเกม เล่นได้สบายๆ เลยล่ะ :D
ฟันธง


  เชื่อหลายคนคงไม่มีบพอที่จะสอย "iPhone 4" ที่มีครบทุกอย่าง (รวมถึงผมด้วย !) ทำให้ไอพอตทัชกลายเป็นที่หมายปองของ User ตั้งแต่เด็กยันผู้ใหญ่ เพราะลูกเล่นไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ และเชื่่อว่าคุณต้องมีมือถือใช้เป็นหลักอยู่แล้ว ดังนั้นไอทัชจึงเป็นส่วนเติมให้การใช้งานด้านมัลติมีเดียของคุณให้เต็มยิ่งขึ้นนั่นเอง


  สำหรับความจุมีให้เลือก 3 ไซส์เช่นเคย (8, 32 และ 64GB) ทั้ง 3 รุ่นนี้ต่างกันแค่เมมโมรี่เท่านั้น อย่างอื่นเหมือนกันหมดครับ สนนราคาที่ 7900, 10400 และ 13900 บาทตามลำดับ